RATCHAPRUK AUTOSALE
รับซื้อ - ขาย แลกเปลี่ยน จัดไฟแนนซ์ รถยนต์ ทุกชนิด 51/18 หมู่10 ถนนราชพฤกษ์ตัดจรัญ13 ภาษีเจริญ บางแวก กรุงเทพมหานคร 10160
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ตับแข็ง เป็นได้ตั้งแต่เด็ก
เคยกล่าวถึงผลเสียของความอ้วนทำให้การรับรสชาติของเด็กอ้วนเสื่อมประสิทธิภาพลงไป และวันนี้ยังมีผลร้ายของความอ้วนในเด็กมาเตือนกันอีก โดย รศ.พญ.วรนุช จงศรีสวัสดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขากุมารเวชศาสตร์โรคทางเดินอาหารและตับ เล่าไว้ในวารสารสุขภาพของโรงพยาบาลเวชธานี บอกว่า โรคไขมันพอกตับและตับแข็ง ถือเป็นภัยเงียบของเด็กอ้วน!
ปัจจุบัน เด็กอ้วนมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รศ.พญ.วรนุช เชื่อว่ามีสาเหตุจากวัฒนธรรมการกินที่เปลี่ยนไป เน้นอาหารจานด่วน รวมทั้งเด็กออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือวิ่งเล่นน้อยลง แต่หันไปเล่นคอมพิวเตอร์หรือดูทีวีนานขึ้น อีกทั้งผู้ปกครองมักมองว่า บุตรหลานที่อ้วนฉุเป็นเด็กน่ารัก แต่ความจริงแล้วความอ้วนก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและยาว
โดยเฉพาะเด็กอ้วนที่มีรอยคล้ำดำบริเวณคอ ข้อพับ รักแร้ และบริเวณที่เนื้อเสียดสีกันคล้ายขี้ไคลแต่ขัดล้างไม่ออก ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เด็กคนนั้นมีโอกาสป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และหยุดหายใจขณะหลับ ที่น่าวิตกคือ ในอดีตโรคเหล่านี้มักพบในผู้ใหญ่วัยกลางคน และผู้สูงอายุ ทว่าปัจจุบันกลับพบเพิ่มในเด็กอ้วน
สำหรับโรคที่พบบ่อยในเด็กอ้วน คือ โรคไขมันพอกตับ รศ.พญ.วรนุช ยังบอกด้วยว่า โรคนี้มักถูกมองข้าม และผู้ปกครองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เด็กก็มีสิทธิ์ป่วยได้ ที่สำคัญ หากป่วยเรื้อรังมีโอกาสทำให้ตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็ง เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซี หรือผู้ใหญ่ที่ดื่มเหล้ามากๆ
อย่างไรก็ตาม รศ.พญ.วรนุช เผยว่า ในต่างประเทศมีการศึกษาพบเด็กวัยรุ่นที่อ้วนมีโรคไขมันพอกตับสูงกว่าวัยรุ่นที่ไม่อ้วนถึง 15-20 เท่า และพบเด็กอ้วนเป็นตับแข็งตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
เด็กอ้วนที่มีไขมันพอกตับ หรือมีตับอักเสบร่วมด้วยมักไม่มีอาการหรืออาจมีอาการไม่จำเพาะ เช่น อ่อนเพลีย ปวดท้อง ดังนั้นเด็กอ้วนควรรับการตรวจเพิ่มเติมว่าป่วยโรคดังกล่าวหรือไม่ ส่วนวิธีตรวจ รศ.พญ.วรนุช บอกว่า มีทั้งการตรวจอัลตร้าซาวนด์ตับ ตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ และการเจาะตรวจเนื้อตับ ในขณะที่การรักษา ดีที่สุดคือการลดน้ำหนัก กินอาหารที่เหมาะสม และออกกำลังกาย ส่วนการใช้ยารักษาไขมันพอกตับในเด็ก ทางการแพทย์ยังถือว่ามีข้อจำกัดและยังต้องรอดูผลในระยะยาว
เคล็ดลับการป้องกันไขมันพอกตับในเด็กอ้วน รศ.พญ.วรนุช แนะผู้ปกครองต้องให้บุตรหลานกินอาหารให้ครบทุกมื้อ แต่มื้อเย็นให้กินแต่น้อยโดยลดข้าวและแป้งลง นอกจากนี้ควรงดอาหารรสหวาน ของทอด ของมัน เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ขนมถุง จำกัดชั่วโมงการดูทีวีและเล่นคอมพิวเตอร์ รวมกันไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน ควรให้เด็กอ้วนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละ 30-60 นาที ถ้าจะให้ดีผู้ปกครองควรปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ให้เด็กๆ ดูเป็นตัวอย่างด้วย.
รศ.พญ.วรนุช จงศรีสวัสดิ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขากุมารเวชศาสตร์โรคทางเดินอาหารและตับ
โรงพยาบาลเวชธานี
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556
การกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไร
การที่จะทราบว่าการกินยาก่อ นอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรน ั้นเราต้องทราบก่อนว่าขั้นต อนที่ยาจะไปออกฤทธิ์นั้นเป็ นอย่างไร เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยาเม็ดหรือแคปซูล ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ในกระเพาะและทางเดิ นอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกดูดซึมเข ้าผนังทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดไปยังส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป แต่ถ้าเป็นยาน้ำขบวนการนี้ก็จะเร็วขึ้น
ยาจะออกฤทธิ์เมื่อได้เข้าไป อยู่ในกระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย อาหารบางอย่างมีผลต่อการดูด ซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอา หาร เช่น ทำให้เกิดการระคายเคือง ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่าต้ องการผลการของยาในแง่ใด ปกติเมื่อกระเพาะมีอาหารอยู ่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือ ดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเ พาะว่าง
จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันที, หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอาหาร จะมีความหมายแทบจะไม่แตกต่า งกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาท ี่กระเพาะอาหารไม่ว่างเหมือ นกัน ดังนั้นเราจะกำหนดเวลาไปด้ว ยว่ากินก่อนอาหารหรือหลังอา หารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ
จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขปดังนี้ กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง
เพราะเราต้องการให้ได้รับยา ขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุ ด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ได้แก ่ เพนนิซิลลิน, แอมพิซิลิน, ไรแฟมพิซิล เป็นต้น บางทีเราก็ต้องการให้ยาออกฤ ทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินจน ถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกัน บ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง หรือบีบตัวของกระเพาะและทาง เดินอาหารคนที่เป็นโรคกระเพ าะนั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให ้กระเพาะลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยาก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลา อาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดท้องได ้ ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิดกา รอยากอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหารประมาณ 1/2 ชั่วโมง พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขึ้น
กินหลังอาหารทันที = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร
ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจ ะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อ กระเพาะอาหารมาก ทำให้คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยล ดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ยาแก้ปวดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโปรเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น นอกจากกินพร้อมอาหารแล้วยาท ี่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้
กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง
ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรดซึ่งมีผู้ทดลองได้ผล ว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่าง ยาจะออกฤทธิ์นานประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง ดังนั้นจึงกำหนดให้กินหลังอ าหาร 1 ชั่วโมง
ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, หลังอาหาร, พร้อมอาหารมาแล้ว ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็ กน้อย ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงม ึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นส่วนผสมของ ยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัย ในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่อง จักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้อย่างสบายใน เวลากลางคืนอีกด้วย
จึงขอสรุปได้ว่า จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารขึ้นกับวัตถุป ระสงค์ในการให้ยานั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลังนานเท่าใดนั้น ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกิน ยาจนถึงเวลาที่ยาถูกดูดซึมเ ข้าผนังทางเดินอาหารหมด หรืออาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออ กฤทธิ์แล้วแต่ว่าเราต้องการ ผลอันไหน
คงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหาร มีความสำคัญเพียงใด ดังนั้นเพื่อผลการรักษาที่ด ีที่สุด ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่ก ำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะตกอยู่กับตัวของผู้ ป่วยเอง
ยาจะออกฤทธิ์เมื่อได้เข้าไป
จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันที,
จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขปดังนี้ กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง
เพราะเราต้องการให้ได้รับยา
กินหลังอาหารทันที = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร
ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจ
กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง
ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรดซึ่งมีผู้ทดลองได้ผล
ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, หลังอาหาร, พร้อมอาหารมาแล้ว ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็
จึงขอสรุปได้ว่า จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารขึ้นกับวัตถุป
คงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหาร
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
โรคไฟโบรมัยอัลเจีย เคยได้ยินหรือเปล่า ?
ท่านเคยมีอาการปวดกล้ามเนื้ อไปทั้งตัว กดโดนตรงไหนก็เจ็บ ไม่มีแรง ปวดบริเวณต้นคอ สะบักหลัง รู้สึกตึงไปหมด เหนื่อยง่าย เป็นทุก ๆ วัน เป็นหลายเดือนหรือ ถึงเป็นปี อาการที่กล่าวมาแล้วฟังดูเห มือนเป็นอาการสามัญที่เกิดข ึ้นกับคนจำนวนไม่น้อย กลุ่มอาการที่กล่าวมานี้คือ กลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจีย (fibromyalgia syndrome) ซึ่งเป็นภาวะหรือกลุ่มอาการ ปวดเรื้อรังที่พบได้เสมอ ๆ มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว ่าผู้ชาย คนที่เป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจี ยจะมีอาการปวดไปทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อต่ าง ๆ แต่จะมีจุดปวดเป็นพิเศษบางต ำแหน่งที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อ นของร่างกาย จุดเหล่านี้จะไวต่อแรงกดมาก แค่เพียงลูบคลำก็ทำให้เกิดอ าการปวด หรืออาการปวดจะเด่นชัดขึ้นท ันที นอกจากอาการปวดแล้วผู้ป่วยโ รคไฟโบรมัยอัลเจียยังรู้สึก อ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง ไม่มีสมาธิทำงาน จิตใจหดหู่ไม่อยากทำอะไร แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนจากการ ศึกษาทางห้องปฏิบัติการว่า ไฟโบรมัยอัลเจีย ไม่ใช่โรคหรือกลุ่มอาการผิด ปกติทางด้านจิตใจไม่ใช่โรคเ ครียดหรือโรคซึมเศร้า ปัจจุบันถึงแม้ยัง ไม่ทราบกลไกที่แท้จริงที่ทำ ให้เกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย แต่เชื่อว่าความผิดปกติในกา รทำงานของระบบประสาทส่วนกลา งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดอา การปวดไปทั้งตัวจากการรับรู ้ความเจ็บปวดของระบบประสาทม ีการเปลี่ยนแปลงไป ในคน 100 คน จะพบคนที่เป็นโรคไฟโบรมัยอั ลเจียประมาณ 2 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงใ นวัยทำงานถึงวัยเกษียณ ผู้ชายก็พบได้แต่น้อยกว่าผู ้หญิงประมาณ 4-7 เท่าปัจจัยที่มีส่วนทำให้เก ิดโรคนี้อาจเป็นความกดดันหร ือความเครียดที่เกิดจากการท ำงานนอกบ้าน ร่วมกับภาระงานบ้านที่มาพร้ อมกัน
ผู้ที่เป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจ ีย จะมีอาการปวดที่กระจายทั่วไ ปเป็นนานกว่า 3 เดือน บางครั้งอาการปวดจะเป็นมากด ้านซ้ายหรือด้านขวาของร่างก ายมากกว่าอีกด้านหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีระดับการรับรู้ค วามเจ็บปวดที่ไวต่อการกระตุ ้นมากกว่าคนทั่วไป บางคนบรรยายอาการปวดว่าเหมื อนไฟเผาทั้งตัว หรือเหมือนของแหลมทิ่มแทงทั ้งตัว จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่ามีผู ้ป่วยถึงร้อยละ 15 ที่ไม่สามารถ กลับไปดำรงชีวิตในสังคมหรือ ทำงานได้ตามปกติ มี ผู้ป่วยถึงร้อยละ 70 ที่อาการปวดเรื้อรังทำให้เก ิดความซึมเศร้าทางอารมณ์ ทำให้เกิดความไขว้เขวว่า ผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชนำไ ปสู่การตรวจทางห้องปฏิบัติก ารและการ
รักษาที่ผิดวิธี
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที ่ชัดเจนของการเกิดโรคไฟโบรม ัยอัลเจีย แต่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงหล ายอย่างเกิดขึ้นในระบบประสา ทของผู้ป่วย เช่น มีการเพิ่มขึ้นของระดับของส ารที่เป็นสื่อ ของการถ่ายทอดการรับรู้ความ เจ็บปวดที่เรียกว่า substance P (P คงมาจาก pain) ในสมอง บางส่วนและในน้ำไขสันหลัง มีการทำงานของสมองบางส่วนมา กกว่าปกติก่อนที่จะเกิดอากา ร ปวดขึ้น มีความผิดปกติในกลไกการควบค ุมฮอร์ โมนบางอย่างหรือการไหลเวียน ของโลหิตในสมองที่ลดลงต่ำกว ่าค่าปกติ ทำให้ในปัจจุบันเชื่อว่า การเกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย เกิดจากความผิดปกติของระบบป ระสาทส่วนกลาง ในลักษณะที่ทำให้ ร่างกายรับรู้ความรู้สึกเจ็ บปวดได้ไวกว่าปกติจากจุดกระ ตุ้น และกลายเป็นความเจ็บปวดที่ก ระจายไปทั้งตัว ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดเฉพาะที่ กล้ามเนื้อเท่านั้น ตามชื่อโรคไฟโบรมัยอัลเจีย แต่ก็ยังไม่มีชื่อใดที่เหมา ะสมที่จะใช้เรียกชื่อโรคนี้ ได้เลยยังใช้ชื่อเดิมอยู่
อาการปวดไปทั้งตัวในผู้ที่เ ป็นโรคไฟโบร มัยอัลเจียเป็นอาการที่เกิด ขึ้นในโรคต่าง ๆ ได้หลายโรค ถ้าเช่นนั้นจะทราบได้อย่างไ รว่าเป็นโรคไฟโบร มัยอัยเจีย การจะแน่ใจหรือให้การวินิจฉ ัยว่าเป็น โรคไฟโบรมัยอัลเจีย อาศัยประวัติการเจ็บป่วยที่ มีอาการปวดกระจายไปทั่วตัว แต่อาจจะไม่เท่ากัน บางคนเป็นด้านซ้ายหรือด้านข วามากกว่า และ เป็นมานานมากกว่า 3 เดือน ร่วมกับการตรวจ ร่างกายที่อาศัยการที่ผู้ป่ วยโรคนี้จะมีจุดที่ไวต่อแรง กดเป็นพิเศษ สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการป วดด้วยแรงกดเบา ๆ ที่ปกติบริเวณอื่นหรือในคนท ั่วไปจะเป็นแค่รู้สึกว่าถูก กดจุดต่าง ๆ เหล่านี้มีตำแหน่งกระจายอยู ่ทั่วร่างกายมีประมาณ 18 จุด ซึ่งมักจะใช้รูปปั้นสมัยกรี กที่มีชื่อเสียงที่เรียก “รูปปั้นสามสาวพี่น้อง” (the three sister) เนื่องจากรูปปั้นนี้จะเผยให ้เห็นสัดส่วนของร่างกายครบท ั้งด้านหน้าและด้านหลังจากก ารมองครั้งเดียว ในระนาบเดียว (ดังภาพ) ถ้าลองกดตามจุดต่าง ๆ นี้แล้วพบว่าจุดที่กดเบา ๆ แล้วกระตุ้นให้เกิดอาการปวด ได้ 11 จุดหรือมากกว่าจาก 18 จุดก็ถือว่าให้การวินิจฉัยโ รคไฟโบรมัยอัลเจียได้ ซึ่งเป็นการตรวจที่ไม่ยากมา กเพียงแต่ต้องทราบว่าจุดต่า ง ๆ เหล่านี้อยู่ตรงบริเวณไหนขอ งร่างกายเท่านั้น แต่ก่อนจะถึงขั้นนี้ก็ต้องน ึกถึงก่อนว่า อาการปวดทั้งตัวนี้อาจจะเกิ ดจากโรค ไฟโบรมัยอัลเจียได้ จึงจะมีการตรวจกดจุดเหล่านี ้ดู ถ้าไม่นึกถึงก็คงไม่ลงมือกด จุดดูตัวอย่างของจุดเหล่านี ้ เช่น จุดบริเวณท้ายทอย จุดบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอทั ้งซ้าย ขวา จุดบริเวณมุมกระดูกสะบัก จุดบริเวณข้อศอก จุดบริเวณตะโพก จุดบริเวณด้านในของข้อเข่า เป็นต้น
กลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจียน ี้นอกจาก จะเกิดขึ้นกับคนทั่วไปแล้วใ นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรค เอส แอล อี (SLE) หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ก็อาจมีกลุ่มอาการไฟโบรมัยอ ัลเจียเกิดขึ้นร่วมด้วยได้ เช่น จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรค เอส แอล อี ประมาณร้อยละ 30 มีกลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจี ยร่วมด้วย นอกจากนี้ในภาวะที่มีความกด ดันหรือภาวะเครียดเรื้อรัง เช่น ในภาวะสงคราม ก็มีอุบัติการณ์ของโรคไฟโบร มัยอัลเจียเพิ่มขึ้น ทหารอเมริกันที่ไปรบในสงครา ม ในประเทศอิรักแล้วมีอาการป่ วยพบว่าป่วยเป็น กลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจียถ ึงร้อยละ 33
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคไฟโบร มัยอัลเจีย ที่ใช้กันมากที่สุดอันดับแร กคือ ยาต้านการอักเสบ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ รองลงไปคือยาแก้ปวดพารา เซตามอล อันดับสามคือยาคลายเครียดแล ะ ยานอนหลับ หรือใช้ยาทั้ง 3 ชนิดนี้ร่วมกัน ใน ปัจจุบันมีการใช้ยากลุ่มอื่ น ๆ อีกหลายกลุ่มมา ช่วยในการรักษาโรคนี้ให้ได้ ผลมากขึ้นทั้งยาแก้ปวด กลุ่มอื่น ยากันชัก และฮอร์โมน ที่สำคัญที่สุดในการรักษาโร คนี้คือ การติดตามผู้ป่วยอย่างต่อ เนื่องเพื่อเป็นการสร้างควา มสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย และผู้ให้การรักษา ทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้ใจแ ละ มีความมั่นใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการติดตามผ ลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิ ดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือเป็นโอก าส ปรับเปลี่ยนการรักษาให้ได้ผ ลมาก ขึ้น เป็นโอกาสให้ร่วมกันหาแนวทา งในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในกิจวัตรส่ว นตัวและการดำเนินชีวิต ในสังคมด้วยวิธีการสร้างสรร ค์ให้กำลังใจ เป็นการเสริมพฤติกรรมและคุณ ภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี.
ผู้ที่เป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจ
รักษาที่ผิดวิธี
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที
อาการปวดไปทั้งตัวในผู้ที่เ
กลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจียน
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคไฟโบร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี.
เทคนิคการลากรถอย่างถูกวิธี
คนขับรถหลาย ๆ ท่านที่เคยเจอกับอุบัิติทางรถคงประสบปัญหาจนไม่สามารถขับรถต่อไปได้ เป็นเหตุให้ต้องใช้รถคันอื่นมาลากไป แต่การลากรถที่ไม่ถูกต้องก็เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้อีก ดังนั้นเราควรจะศึกษาเทคนิควิธีการลากรถอย่างถูกต้องไว้ด้วยยามฉุกเฉิน | ||
"การลากรถ" นั้นเป็นวิธีหนึ่งที่เราหลายคนมักจะทำประจำ โดย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการนำรถไปยังที่ปลอดภัยชั่วคราวหรือเพื่อเดินทางไปพบ ช่างผู้ชำนาญการ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นไม่ให้ต้องนั่งตบยุงท่ามกลางความ เปลี่ยวของถนน ตามปกติแล้วพวกเราคนเมืองหลวงมักไม่ค่อยได้ลากรถกันมากนัก เนื่องจากความสะดวกที่ถูลู่ถูกังไปทั้งยังงั้นไม่นานก็อาจจะเจออู่ที่เป็น งานหรือไม่ก็มีรถยกบริการที่พร้อมให้คุรเรียกใช้สะดวก แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เดินทางค่อนข้างบ่อยและรถแม้จะมีสภาพสมบูรณ์แต่ ก็เริ่มอายุมาก คุณเองควรเรียนรู้วิธีลากรถด้วยตัวเองเอาไว้ ที่ง่ายๆไม่ยากมากมายนัก 1.อุปกรณ์ต้องพร้อม ข้อสำคัญของการลากรถนั้นไม่ได้อยู่ที่วิธีแต่มันขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัว เอง ที่การลากรถนั้นจำเป็นต้องใช้ สิ่งของที่จะทำให้รถ 2 คันสามารถพ่วงเข้าหากันไปด้วยกันมาด้วยกัน ซึ่ง ปัจจุบันที่นิยมมีเชือก สลิง และ แป๊บลาก แต่เราอยากแนะนำให้ใช้สลิงดีกว่า เนื่องจากเชือกขาดง่าย ส่วนแป๊ปเหล็กนั้น สามารถสร้างความเสียหายให้ตัวรถได้ถ้าไม่ชำนาญการ 2.หาตัวช่วย เมื่อพร้อมแล้ว ก็ได้เวลาที่คุณต้องหาคนช่วยเหลือ โดยเฉพาะเมื่อทางออกที่ควรจะเลือกคือรถกระบะ เนื่องจากรถกระบะมีแรงบิดในรอบต่ำที่ดีจากเครื่องยนต์ดีเซลทำให้ลากได้ ง่ายกว่า รถเก๋งด้วยกัน ส่วนในเมืองนั้นแท็กซี่ก็พอจัดให้ได้ แต่แนะว่าต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป | ||
3.ได้เวลาลุย เมื่อ คุณได้ทั้ง 2 อย่างครบแล้ว ก็ได้เวลาพ่วงรถคุณกับตัวช่วยเข้าด้วย ตามปกติแล้ว รถปัจจุบันแทบทุกรุ่นจะมีจุดลากมาให้ซึ่งจะเป็นห่วงเล็กๆ ที่ยึดเข้ากับแชสซีโดยตรงทำให้มีความแข็งแรงและไม่สร้างความเสียหายต่อตัวรถ แต่หากไม่มีให้ยึดกับจุดใดก็ได้ที่เป็นแชสซีของรถหรือไม่ก็ต้องเป็นชิ้นส่วน ที่ติดกับโครงสร้างหลักโดยตรง | ||
4.รู้วิธีขับข้อนี้สำคัญสุด การ ลากรถอาจจะฟังเหมือนง่ายแต่เอาเข้าจริงมันกลับทำยากกว่าที่พูด เพราะการกระทำแบบนี้ถือเป็นการเสี่ยงและจริงก้ไม่ค่อนอยากแนะนำแต่อย่างบอก บางครั้งเราเดินทางมันก็ไม่มีทางเลือกมากมายอะไรนัก การขับรถเราโดยที่ถูกลากอยู่นั้นถือเป็นข้อสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเราต้องจับจังหวะให้ได้ โดยเฉพาะการใช้เชือกหรือสลิกจะลำบากกว่าใช้แป๊ปเล้กน้อย เพราะต้องคอยกะระยะว่าเมื่อไรเชือกตึงหรือกำลังผ่อน หลักการง่ายๆคือให้สังเกตระดับไฟหน้ารถเรากับคันที่ลากว่าเราความชิดมากแค่ ไหน แต่จำไว้ว่าอย่าใกล้มากขนาดนั้น เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะไม่สามารถหยุดได้ทัน และอีกเรืองที่สำคัญ หากใช้เชือก/สลิงอย่าให้เกิดการกระตุกแรงๆเพราะมันอาจขาดได้แม้จะมีความหนา แน่นพอที่จะลากรถได้ก็ตาม ทั้งนี้หากคุณมีปัญหากลางทางและไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนักทางที่ดี ควรจะโทรหาหน่วยงานฉุกเฉิน/ตำรวจ ในพื้นที่เพื่อประสานงานรถยกไปยังอู่ที่ใกล้เคียงก่อนเพื่อตรวจสอบปัญหาที่ เกิดขึ้น แต่หากปัญหาหนักจริงควรกลับมาซ่อมที่อู่ซึ่ง เราสามารถวางใจได้ |
น้ำหอม-การบูร-พิมเสน ควรใช้ในรถมั๊ย ??
ถ้าชอบความหอม-สดชื่นก็ติดตั้งได้ แต่ควรมั่นทำความสอาดตู้แอร์ทุก 2-30,000 กม. และเปลี่ยนกรองแอร์อย่างสม่ำเสมอ
การบูร-พิมเสน หากทิ้งแตกแดดไว้นานๆ เคมีอาจกลายสภาพเป็นสารที่สูดดมแล้ววิงเวียนศรีษะ หากชอบกลิ่นการบูร ควรมั่นเปลี่ยนบ่อยๆ
หากไม่เคยล้างตู้แอร์ ไอระเหยของน้ำหอมจะวนอยู่ในตู้แอร์ นานๆจะจับตัวเป็นคราบเหนียว และเป็นแหล่งเพาะบ่มเชื้อโรค อีกทั้งทำให้แอร์ตัน Com Air ทำงานหนัก และเสียเร็วก่อนกำหนด
-ทางแก้กลิ่นภายในรถ
1.หากใช้รถเกิน 30,000 กิโล ควรล้างตู้แอร์ และเปลี่ยนกรองแอร์
2.หาถ่านใส่ถังอบไว้ในรถซัก 1 อาทิตย์ และ/หรือ เปิดประตูตากแดด
3.หลีกเลี่ยงทานอาหาร-สูบบุหรี่ หากจำเป็นควรเปิดกระจกระบาย
ใครบ้างที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
1. ชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
2. ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีแต่มีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่
ประวัติโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว
ประวัติโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ประวัติโรคมะเร็งหลายชนิดร่วมกันในครอบครัว
( ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกวิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมเป็นรายๆไป)
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่มีอุบัติการณ์สูงทางประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้น 142,950 ราย ต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 52,857 รายในแต่ละปี
ส่วนในยุโรป จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่าโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นสาเหตุอันดับที่สองรองจากมะเร็งเต้านมในเพศหญิงและมะเร็งต่อมลูกหมากกับมะเร็งปอดในเพศชาย โดยมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ถึงปีละ 450,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากถึงปีละ 232,000 รายทั่วยุโรป สำหรับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประเทศไทยเอง แม้ว่าจะมีอุบัติการณ์ไม่สูงเท่ากับประเทศในยุโรปหรืออเมริกา แต่ก็พบประมาณการผู้ป่วยใหม่มากกว่า 65,000 รายต่อปี หรือประมาณ 25 รายในประชากร 100,000 ราย ทั้งในเพศชายและเพศหญิง และยังเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันต้นๆอีกด้วย
เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคมะเร็งทุกชนิดนั้น หากมีการตรวจพบตั้งแต่ระยะต้นผลของการรักษาจึงจะดี ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีคำแนะนำให้มีการ “ตรวจคัดกรอง” (screening) เพื่อหาโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาหากตรวจพบโรค รวมถึงการศึกษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเพื่อการป้องกัน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีคำแนะนำให้ประชากรที่มีอายุมากกว่า 50 ปีทุกรายได้รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการต่างๆและพบว่าสามารถลดอัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตจากโรคนี้ได้อย่างชัดเจน
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าประมาณร้อยละ70 ของโรคมะเร็งลำไส้เกิดจากติ่งเนื้อขนาดเล็ก (polyp) ที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ดังนั้นการตรวจคัดกรองเพื่อหาติ่งเนื้อดังกล่าวและตัดออกไปก็สามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ การศึกษาของประเทศไทยเองพบว่าโอกาสตรวจพบติ่งเนื้อในประชากรที่มารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ30 โดยมากขึ้นตามอายุ ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่มีรายงานไว้ได้แก่ ผู้มีประวัติติ่งเนื้อในลำไส้หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว (โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคตั้งแต่อายุน้อยกว่า 50 ปี) โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ เป็นต้น
http://www.samitivejhospitals.com/healtharticle_detail/ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่_1162/th
— กับ Black Henและ Tschudin Koy2. ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีแต่มีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่
ประวัติโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว
ประวัติโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ประวัติโรคมะเร็งหลายชนิดร่วมกันในครอบครัว
( ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกวิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมเป็นรายๆไป)
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่มีอุบัติการณ์สูงทางประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้น 142,950 ราย ต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 52,857 รายในแต่ละปี
ส่วนในยุโรป จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่าโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นสาเหตุอันดับที่สองรองจากมะเร็งเต้านมในเพศหญิงและมะเร็งต่อมลูกหมากกับมะเร็งปอดในเพศชาย โดยมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ถึงปีละ 450,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากถึงปีละ 232,000 รายทั่วยุโรป สำหรับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประเทศไทยเอง แม้ว่าจะมีอุบัติการณ์ไม่สูงเท่ากับประเทศในยุโรปหรืออเมริกา แต่ก็พบประมาณการผู้ป่วยใหม่มากกว่า 65,000 รายต่อปี หรือประมาณ 25 รายในประชากร 100,000 ราย ทั้งในเพศชายและเพศหญิง และยังเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันต้นๆอีกด้วย
เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคมะเร็งทุกชนิดนั้น หากมีการตรวจพบตั้งแต่ระยะต้นผลของการรักษาจึงจะดี ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีคำแนะนำให้มีการ “ตรวจคัดกรอง” (screening) เพื่อหาโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาหากตรวจพบโรค รวมถึงการศึกษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเพื่อการป้องกัน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีคำแนะนำให้ประชากรที่มีอายุมากกว่า 50 ปีทุกรายได้รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการต่างๆและพบว่าสามารถลดอัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตจากโรคนี้ได้อย่างชัดเจน
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าประมาณร้อยละ70 ของโรคมะเร็งลำไส้เกิดจากติ่งเนื้อขนาดเล็ก (polyp) ที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ดังนั้นการตรวจคัดกรองเพื่อหาติ่งเนื้อดังกล่าวและตัดออกไปก็สามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ การศึกษาของประเทศไทยเองพบว่าโอกาสตรวจพบติ่งเนื้อในประชากรที่มารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ30 โดยมากขึ้นตามอายุ ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่มีรายงานไว้ได้แก่ ผู้มีประวัติติ่งเนื้อในลำไส้หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว (โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคตั้งแต่อายุน้อยกว่า 50 ปี) โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ เป็นต้น
http://www.samitivejhospitals.com/healtharticle_detail/ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่_1162/th
ผักผลไม้ค้างคืน มีสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นกว่าตอนสด ๆ ซะอีก
หากคราวหน้าคุณคิดจะปาสตรอเบอรี หรือองุ่นค้างคืนทิ้งละก็
อย่าเพิ่งนะครับ
เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียม เพิ่งรายงานมาว่า ผักและผลไม้เหล่านี้ยังคงมีสารต ้านอนุมูลอิสระอยู่อีกหลายวันหล ังจากที่เราซื้อมา บางชนิดแม้เราจะเห็นว่าใกล้เสีย แล้วก็ยังมีคุณค่าอยู่แถมบางชนิ ดยิ่งเก่าเท่าไรยิ่งมีคุณสมบัติ ต้านอนุมูลอิสระมากเท่านั้นครับ
อายุของผักและผลไม้นั้นเราอาจสั งเกตได้จากรูปร่างลักษณะภายนอก
แต่ผักผลไม้อายุมาก ที่เราพยายามจะเขวี้ยงทิ้งกลับม ีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อเลยคร ับ คำว่ามีประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้ห มายความว่ามีรสชาติอร่อย หรือมีคุณค่าทางโภชนาการสูงนะคร ับแต่หมายความว่า มันมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางพ ันธุกรรม เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นักวิจัยกล่าวว่ายังไม่มีการศึก ษาใดที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบกา รเก็บต่อระดับสารต้านอนุมูลอิสร ะ
Claire Kevers และคณะได้สรรหาผักผลไม้หลายชนิด จากตลาดเบลเยียมมาทดสอบระดับสาร ต้านอนุมูลอิสระในช่วงเวลาที่แต กต่างกันไปหลังจากเก็บไว้ที่อุณ หภูมิห้องหรืออุณหภูมิ 37 องศาฟาเรนไฮต์ในตู้เย็น
จนกระทั่งผักผลไม้นั้นๆ จะเริ่มเน่า ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าหลังจา กทิ้งผักผลไม้ที่ซื้อจากตลาดไว้ หลายวัน ผักผลไม้เหล่านั้นยังคงมีสารประ กอบจำพวกฟีนอล กรดแอสคอร์บิกและเฟลโวนอล สารเคมีทั้งสามที่ว่านี้เกี่ยวข ้องกับระดับสารต้านอนุมูลอิสระ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าระดับสาร ต้านอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้นหลั งจากวันที่ซื้อมานั้นเกิดจากการ เพิ่มขึ้นของสารประกอบเหล่านี้ค รับ
สรุปว่าผักและผลไม้ที่ค้างคืน แม้จะดูไม่น่าทาน แต่ก็มีประโยชน์อยู่นะครับ ไม่จำเป็นต้องรีบทิ้ง
http://www.panclinic.com/
อย่าเพิ่งนะครับ
เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียม
อายุของผักและผลไม้นั้นเราอาจสั
แต่ผักผลไม้อายุมาก ที่เราพยายามจะเขวี้ยงทิ้งกลับม
Claire Kevers และคณะได้สรรหาผักผลไม้หลายชนิด
จนกระทั่งผักผลไม้นั้นๆ จะเริ่มเน่า ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าหลังจา
สรุปว่าผักและผลไม้ที่ค้างคืน แม้จะดูไม่น่าทาน แต่ก็มีประโยชน์อยู่นะครับ ไม่จำเป็นต้องรีบทิ้ง
http://www.panclinic.com/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)