วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

รับประทานยาแต่ละชนิดต่อไปนี้ มีผลอย่างไรกับสุขภาพ?

รับประทานยาแต่ละชนิดต่อไปนี้ มีผลอย่างไรกับสุขภาพ?
โดยเฉพาะเด็กอยู่ช่วงเจริญเติบโตยังไม่เต็มที กระบวนการทำลายพิษยาและการขับถ่ายของเสียไม่สมบูรณ์ ร่างกายของเด็กจึงไวต่อพิษยา ดังนั้นการใช้ยาในเด็กจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะและยาแอสไพริน

@ ยาแอสไพริน (Aspirin) ไม่กี่ปีมานี้กระทรวงสาธารณสุขสั่งห้ามขายให้เด็ก เพราะมีอันตรายถึงชีวิต ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ อาจทำให้มีเลือดออกได้ การแพ้ยาแอสไพริน มักเกิดอาการจากสมองและตับบาดเจ็บ อักเสบเสียหาย หรือชื่อทางการแพทย์ คือ กลุ่มอาการราย (Reye′s syndrome) เป็นกลุ่มอาการมักเกิดในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จากการแพ้ยาแอสไพรินซึ่งกินเพื่อลดไข้ โดยเฉพาะหากเด็กเป็นไข้เลือดออกจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

@ ยาคลอแรมเฟนิคอล และเตตราซัยคลีน เป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้กว้างขวางหลายชนิดเป็นตัวยาที่มีอันตรายร้ายแรงและไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในเด็กเล็ก ยาคลอแรมเฟนิคอล อาจทำให้เกิดพิษต่อการสร้างเม็ดเลือด เช่น ลดการทำงานของไขกระดูกทำให้เกิดโรคโลหิตจาง อาจมีเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ำร่วมด้วย และอันตรายถึงชีวิต จึงห้ามใช้ในทารกอายุต่ำกว่า 4 เดือน ส่วนยาเตตราซัยคลีน อันตรายคือทำให้ฟันเป็นสีน้ำตาลถาวร ฟันหลุดร่วงเร็วกว่าปกติ และทำให้การเจริญเติบโตของกระดูกลดลง จึงไม่ควรใช้หรือห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หญิงมีครรภ์ และแม่ระหว่างให้นมลูก

ในวัยผู้ใหญ่ แม้ว่าจะดูสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่จากการทำงานหนักและการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาจมีการใช้ยาทั้งในกลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาระบาย ยาลดความอ้วน ซึ่งถือว่าอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธีและขนาดกับโรค และรา่งกาย เช่น

@ ยาปฏิชีวนะ เป็นหวัด เป็นไข้ เจ็บคอ นอกจากยาพาราเซตามอลแล้ว ยาปฏิชีวนะหรือในชื่อเรียกง่ายๆ ว่า "ยาแก้อักเสบ" (ทั้งๆ ที่ไม่ถูกต้อง) เป็นอีกหนึ่งยาที่คนไทยชอบกิน จริงๆ แล้วเราควรจะกินยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อมีอาการเจ็บป่วย ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อ และใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดชนิดหนึ่งรักษาได้ผลเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพอเป็นโรคติดเชื้อแล้วจะใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดๆ ก็ได้ เช่น ถ้าเป็นเชื้อไมโคพลาสมา ต้องใช้อีริโทรไมซิน ถ้าเป็นเชื้อไวรัส โดยทั่วไปก็ไม่มียาที่ใช้ได้ผล เป็นต้น อย่าใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น หากต้องใช้ให้ใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา

@ ยาพาราเซตามอล เป็นยาแก้ปวด และลดไข้ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด บางคนกินแก้หวัด-ป้องกันหวัด หรือแก้ปวดเมื่อย พาราเซตามอลมีข้อดีที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะ แต่แท้จริงแล้วมีผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด คือ การเกิดพิษต่อตับ หากใช้เกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานเกินไป ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และเกิดภาวะตับวาย ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิต หากไปรับการรักษาไม่ทันท่วงที

ส่วนวัยเกษียณ ปัจจุบันคนไทยกำลังเข้าสู่โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ ผู้สูงวัยจึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งบางคนจำเป็นต้องทานยาอย่างต่อเนื่องการใช้ยาในผู้สูงอายุ พบว่ามีความเสี่ยงหรือมีโอกาสที่จะได้รับอันตราย ได้มากกว่าบุคคลทั่วไป - 2 ยาอันตรายที่ต้องระวัง

๑) กลุ่มยาแก้ปวด
ลดไข้ เช่น ไดพัยโรน และหรือยาที่มีไดพัยโรนผสม อาจเกิดผื่นแพ้หรือผิวหนังอักเสบ และทำลายระบบเลือด เม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดแตก....

เฟนิลบิวตาโซน และออกซีเฟนิลบิวตาโซน อาจเกิดไขกระดูกฝ่อ เม็ดเลือดขาวต่ำ กระเพาะอาหารทะลุ อ่อนแรง ผื่นขึ้น ปากเป็นแผล บวม....

ยาแก้อักเสบ แก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) อาจทำให้เกิดโรคกระเพาะ ชีพจรเต้นเร็ว บางคนอาจมีชีพจรช้า ใจสั่น ความดันเลือดสูง หายใจลึกแรง....

ยาแก้ปวดกับยากล่อมประสาท หรือยาคลายกล้ามเนื้อหดเกร็ง ยาคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง อาจทำให้เกิดความดันในลูกตาสูง (อาจทำให้ตาบอดได้ถ้าเป็นโรคต้อหินอยู่ก่อนแล้ว) ถ่ายปัสสาวะลำบาก เกิดการคั่งของปัสสาวะ โดยเฉพาะผู้ที่มีต่อมลูกหมากโต ปากคอแห้ง ตื่นตกใจง่าย อ่อนเพลีย เป็นอันตรายถ้ากินร่วมกับสุรา

๒) ยาที่มีสารสเตอรอยด์ 
ผู้สูงอายุมักจะมีอาการปวดเมื่อย ปวดแข้ง ปวดขา เจ็บป่วย จึงพยายามหายาที่ลดอาการเหล่านี้มาใช้ แต่รู้หรือไม่ยาส่วนใหญ่ที่ช่วยลดอาการปวดจำนวนไม่น้อยมีสารสเตอรอยด์ผสมอยู่ เช่น ยารักษาโรคภูมิแพ้ ยารักษาโรคหอบหืดชนิดพ่นสูดทางปากได้แก่ เบโดรเมธาโซน และบูเดโซไนด์ ยาหยอดตา ยาป้ายตา ยารักษาโรคไตบางชนิด ยารักษาข้ออักเสบ และยาแก้แพ้ 

@ ยาลูกกลอนหมอเถี่อนที่มีสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย หากร่างกายได้รับสารนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดความผิดปกติ เช่น...ใบหน้าบวม อ้วนกลม ตัวบวมอ้วน ผิวหนังมีรอย แตก ภาวะความดันโลหิตตก ภูมิคุ้มกันลดลงทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย เกิดเบาหวาน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้อกระจก กระดูกพรุนและเป็นแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ก่อนใช้ยาชนิดใดจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง


@ นอกจากนี้ยาที่อาจทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพ เช่น ไซเมทิดีน (Cimetidine) ดิจ๊อกซิน (Digoxin) ยาขับปัสสาวะพวกไธอะไซด์ (Thiazide diuretics) ยาลดความดันเลือด เช่น โพรพาโนลอล (Propranolol) ยาขยายหลอดลม เช่น ธีโอฟิลลีน (Theophylline) ยาสงบประสาทและยานอนหลับ เช่น ไดอะซีแพม (Diazepam) ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น อินโดเมธาซิน (Indomethacin) อะมิโนกลัยโคไซด์ (Aminoglycosides) เช่น กานามัยซิน (Kanamycin)

## นี้เป็นตัวอย่างยาสำหรับคน 3 วัยที่ต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ เพราะยามีทั้งคุณและโทษ

..เอามาฝาก อยากให้ทราบกัน... ระวัง!! น้ำท่วมปลิงเกาะ ต้องแกะอย่างถูกวิธี

ในสถานการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ ก็สามารถทำให้เราเจ็บป่วยด้วยโรค ภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำกัดเท้า อุจจาระร่วง ไข้ฉี่หนู ตาแดง ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ฯลฯ และภัยร้ายที่มากับน้ำอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถมองข้ามได้ นั่นก็คือ สัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษทั้งหลาย เช่น จระเข้ งู และที่ดูจะเยอะหน่อยเห็นจะหนีไม่พ้น "ปลิง" นี่แหละ

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปลิง คืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ? ...ปลิง เป็นสัตว์ที่อยู่ในน้ำโดยเฉพาะน้ำนิ่ง ๆ ทั้งหนองน้ำ ลำธาร รวมถึงบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง และจะเกาะตามร่างกายคนเพื่อดูดเลือด สำหรับในประเทศไทยมักพบปลิง 2 ชนิด คือ ปลิงเข็ม ตัวยาวขนาดใกล้เคียงกับก้านไม้ขีดไฟ อีกชนิดเป็น ปลิงควาย ตัวยาว 3 นิ้ว ลำตัวกว้าง 1 นิ้ว

ดังนั้น ในสภาวะน้ำท่วมขังนานเป็นสัปดาห์ (หรือบางทีนานเป็นแรมเดือน) ซึ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเช่นนี้ สิ่งที่พวกเราทุกคนพึงปฏิบัติก็คือ สังเกตตามเนื้อตัวของตนเองอย่างละเอียดว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดอยู่หรือไม่ เพราะหากถูกปลิงเกาะ ตัวของปลิงนั้นเบาจะไม่ทำให้รู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดอยู่ อีกทั้ง การดูดเลือดของปลิงก็เป็นไปอย่างแผ่วเบาเช่นกัน

นอกจากนี้ระหว่างที่ปลิงเริ่มกัดและดูดเลือดนั้น มันจะปล่อยสารที่มีฤทธิ์คล้ายยาชาออกมา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ ทั้งยังมีสารช่วยขยายหลอดเลือดและสารต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อให้ดูดเลือดได้ต่อเนื่อง หากปลิงยังดูดเลือดไม่อิ่มก็ยังจะเกาะอยู่อย่างนั้น โดยมันจะหลุดออกมาเองเมื่ออิ่ม แต่หากถูกรุมเกาะหลายตัวและถูกดูดเลือดมาก ก็จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดได้ ดังนั้น วันนี้เราก็มีวิธีป้องกันตนเองไม่ให้ถูกปลิงเกาะ รวมถึงวิธีแกะปลิงออกอย่างถูกวิธีมาแนะนำค่ะ 

วิธีป้องกัน 
หากมีความจำเป็นต้องลงไปในน้ำที่ท่วมขังและนิ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกปลิงเกาะและดูดเลือดนั้น ควรจะสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดรัดกุมและมัดปลายขากางเกง จากนั้นก็ชโลมน้ำมันก๊าดลงบนเสื้อผ้าส่วนที่ต้องโดนน้ำจะช่วยป้องกันสัตว์มีพิษได้

วิธีแกะปลิง
แต่หากว่าเพื่อน ๆ ไม่ได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้า หรือป้องกันตัวเองอย่างมิดชิดแล้วแต่ยังถูกปลิงเกาะได้ วิธีการแกะปลิงออกจากร่างกายอย่างถูกวิธีสามารถทำได้ ดังนี้

- ไม่ควรใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นดึงหรือกระชากตัวปลิงออกจากผิวหนังโดยตรง เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด เลือดหยุดยาก

- ใช้น้ำมะนาว น้ำมะกรูด น้ำเกลือเข้มข้น หรือน้ำแช่ยาฉุนหรือยาเส้นไส้บุหรี่ อย่างใดอย่างหนึ่งราดใส่ตรงที่ปลิงเกาะ นอกจากนี้ยังอาจเลือกใช้บุหรี่ที่ติดไฟหรือธูปติดไฟ จี้ลงไปที่ตัวปลิง ก็ทำให้ปลิงหลุดออกเอง

- เมื่อปลิงหลุดออก ให้หยดยาฆ่าเชื้อที่คอตตอนบัดและเช็ดเป็นวงรูปก้นหอย เริ่มจากส่วนในของแผลวนออกรอบนอกแผล เช็ดวนรอบเดียวเพื่อไม่ให้แผลสกปรก แล้วเปลี่ยนคอตตอนบัดอันใหม่ สัก 2-3 อัน

เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ได้รู้วิธีป้องกัน รวมถึงข้อควรปฏิบัติหากถูกปลิงเกาะกันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตาม และแนะนำคนรอบข้าง เพื่อให้ทุกคนรอดพ้นจากสัตว์ร้า
ยในช่วงหน้าน้ำแบบนี้กันด้วยนะจ๊ะ


โรคแพนิค (Panic Disorder) (infomental)

มีการวิจัยพบว่าผู้ป่วยมักมีฮอร์โมนที่ชื่อว่า อะดรีนาลิน (Adrenalin) ซึ่งผลิตจากต่อมหมวกไตสูง แต่มีเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นผลผลิตจากสมองต่ำ ซึ่งกรรมพันธุ์ก็มีส่วนทำให้เกิดโรคนี้ได้

@ โรคแพนิค เป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีคนเป็นกันมาก และเกินมานานแล้ว แต่คนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จักและยังไม่มีชื่อโรคอย่างเป็นทางการในภาษาไทย บางคนอาจเรียกโรคนี้ว่า "หัวใจอ่อน" หรือ " ประสาทลงหัวใจ" แต่จริงๆ แล้วโรคนี้ไม่มีปัญหาอะไรที่หัวใจ และ ไม่มีอันตราย เวลามีอาการผู้ป่วย จะรู้สึกใจสั่นหัวใจเต้นแรง อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน หรือหายไม่เต็มอิ่ม ขาสั่น มือสั่น มือเย็น บางคนจะมีอาการวิงเวียนหรือมึนศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน ขณะมีอาการผู้ป่วยมักจะรู้สึกกลัวด้วย

@ ส่วนใหญ่ผู้ป่วย โรคแพนิค จะกลัวว่าตัวเองกำลังจะตาย กลัวเป็นโรคหัวใจ บางคนกลัวว่าตนกำลังจะเสียสติหรือเป็นบ้า เพราะอาการต่าง ๆ มักเกิดขึ้นทันทีและค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มที่ในเวลาประมาณ 10 นาทีอยู่ระยะหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ทุเลาลง อาการจะหายหรือเกือบหายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากหายผู้ป่วยมักจะเพลีย

@ อาการ โรคแพนิค จะเกิดที่ไหนเมื่อไรก็ได้ แต่ผู้ป่วยมักพยายามสังเกตุ และเชื่อมโยงหาเหตุ เพื่อที่ตนจะได้หลีกเลี่ยง เช่น บางรายไปเกิดอาการขณะขับรถก็จะไม่กล้าขับรถ บางรายเกิดอาการขณะกำลังเดินข้ามสะพานลอยก็จะไม่กล้าขึ้นสะพานลอย ผู้ป่วยบางรายไม่กล้าไปไหนคนเดียว หรือไม่กล้าอยู่คนเดียว เพราะกลัวถ้าเกิดอาการขึ้นมาอีกจะไม่มีใครช่วย ในบางรายอาจเกิดจากกระตุ้นเวลาออกกำลังหนัก ๆ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำโคล่า ในกรณีแบบนี้จึงควรหลีกเลี่ยง

@ ขณะเกิดอาการ ผู้ป่วยมักกลัวและรีบไปโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ให้เข้าห้องฉุกเฉิน จะได้รับการสรุปอาการว่า "เครียดหรือคิดมาก" ซึ่งผู้ป่วยจะยอมรับไม่ได้และปฏิเสธว่าไม่ได้เครียด เมื่อเกิดอาการครั้งต่อมา ผู้ป่วยก็จะไปโรงพยาบาลอื่นและก็จะได้คำตอบแบบเดียวกัน ...ผู้ป่วย หลายรายไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพ โดยเฉพาะหัวใจซึ่งก็ได้รับการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด และไม่พบความผิดปกติอะไรที่สามารถอธิบายอาการได้ดีกว่านี้

@ โรค "ตื่นตระหนก" จะสังเกตุได้ว่าอาการต่าง ๆ จะคล้ายกับอาการของคนที่กำลังตื่นตระหนก ใน โรคแพนิค ผู้ป่วยจะเกิดอาการแพนิคนี้ขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุกระตุ้น และคาดเดาไม่ถูก

@ อาการแพนิค ไม่มีอันตราย อาการนี้ทำให้เกิดความไม่สบายเท่านั้น สังเกตุได้จากการที่ผู้ป่วยมักจะ มีอาการมานาน บางคนเป็นมาหลายปี เกิดอาการแพนิคมาเป็นร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากกว่าวงจรที่เป็น

การใช้รักษา โรคแพนิค จะมี 2 กลุ่ม
1) ยาป้องกัน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า ปรับยาครั้งหนึ่งต้องรอ 2-3 สัปดาห์ จึงจะเริ่มเห็นผลคืออาการแพนิคจะห่างลง และเมื่อเป็นขึ้นมาอาการก็จะเบาลงด้วย เมื่อยาออกฤทธิ์เต็มที่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพนิคเกิดขึ้นเลย ยากลุ่มนี้จะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าบางตัว เช่น เล็กซาโปร (lexapro) โปรแซก (prozac) โซลอฟ (zoloft) ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดการติดยาและสามารถหยุดยาได้เมื่อโรคหาย ในการรักษาด้วยยาเราจะจ่ายทั้งยาป้องกันและยาแก้

@ เพราะในช่วงแรก ๆ ยาป้องกันยังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ จึงยังต้องใช้ยาแก้อยู่ เมื่อยาป้องกันเริ่มออกฤทธิ์ผู้ป่วยจะกินยาแก้น้อยลงเอง แพทย์จะค่อยๆเพิ่มยาป้องกันจนผู้ป่วย "หายสนิท" แล้วให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อไปเป็นเวลา 8-12 เดือน แล้วค่อยๆ หยุดยา แต่ก็มีบางรายที่มีอาการอีกเมื่อลดยาลง ในกรณีนี้ให้ยาใหม่แล้วค่อยๆ ลดยาลงช้าๆ

2) ส่วนยาแก้ เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้เฉพาะเมื่อเกิดอาการขึ้นมา ทานแล้วหายเร็ว ยาที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามของยา “กล่อมประสาท” หรือยา “คลายกังวล” เช่น แวเลี่ยม (valium) แซแนก (xanax) อะติแวน (ativan) ยาประเภทนี้มีความปลอดภัยสูง ไม่มีพิษ ไม่ทำลายตับ ไม่ทำลายไต แต่ถ้ารับประทาน ติดต่อกันนานๆ 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป จะเกิดการติดยาและเมื่อหยุดยากระทันหันจะเกิดอาการขาดยา ซึ่งจะมีอาการเหมือนอาการ"แพนิค ทำให้แยกไม่ได้ว่าหายหรือยัง ดังนั้น ให้ทานเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น เริ่มมีอาการแล้วค่อยทานก็ทันเพราะมันออกฤทธิ์เร็ว

การดูแลโรคแพนิคด้วยตนเอง
1) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คนไข้อาจไม่กล้าทำ เพราะคิดว่าจะยิ่งทำให้ใจสั่นเวลาเหนื่อย แต่ที่จริงแล้วการออกกำลังกลับทำให้ระบบหัวใจ และปอดทำงานสมดุลขึ้น
2) พักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอ หากอดนอนโรคจะกำเริบได้ง่าย
3) งดใช้คาเฟอีน (ชา กาแฟ ชาเขียว เครื่องดื่มชุกำลัง) สุรา และสารเสพติด เพราะอาจมีฤทธิ์กระตุ้นให้เกิดแพนิค
4) การผึกการผ่อนคลายด้วยวิธีเหล่านี้ โดยต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอและใช้เวลาอย่างน้อยครั้งละ 15-20 นาที - การฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ - การฝึกสมาธิ หรือเดินจงกรม - การฝึกจินตนาการเพื่อการผ่อนคลาย โดยอาจใช้ฟังเพลงช่วย - การผึกโยคะ ไทเก็ก หรือการออกกำลังที่ประสานร่างกายและจิตใจ - การได้ปรึกษาหรือระบายปัญหากับผู้ที่ตนไว้ใจหรือศรัทธา หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิต - การจัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่นศึกษาธรรมะ หรือทำงานอดิเรกที่ผ่อนคลาย - ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา และแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อมีอาการเกิดขึ้นหลังจากใช้ยา - เวลามีอาการอย่าตกใจ อย่าคิดต่อเนื่องไปว่าจะป่วยหนักหรือจะหัวใจวายตาย เพราะจะยิ่งทำให้เครียดและ ยิ่งเป็นมากขึ้น ให้นั่งพักและรออาการสงบไป ซึ่งจะหายไปเองเหมือนครั้งก่อนๆที่เคยเป็น หรือรับประทานยาที่แพทย์ให้ไว้ แล้วพักสักครู่รอยาออกฤทธิ์ ขอให้มั่นใจว่าไม่เคยมีใครตายจากโรคแพนิค เพราะจะทำให้คิดมากจนไม่มีความสุข - ไม่หายแล้วเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

@ ยาสมุนไพร : ใช้ยาหอมบำรุงหัวใจ / ยาชนะโรค 108 บำรุงหัวใจ แก้จิตประสาท / น้ำมันสกัดเย็นรวม แก้เครียด บำรุงสมอง ทำให้อารมณ์ดี / อาหารประเภทบำรุงสมอง เช่น กลุ่มปลาทะเล-น้ำจืด - ใบบัวบก - ใบแปะก้วย - กล้วย ฯลฯ 


 

ความเชื่อผิดๆ ...เมื่อจะซื้อรถมือสอง >>

การเลือกซื้อรถยนต์มือสองไม่ใช่เรื่องง่าย ใครๆ ก็กลัวถูกหลอก แต่จะป้องกันได้อย่างไร ถ้ายังมีความเชื่อผิดๆ กันอยู่... บทความนี้ไม่ใช่วิธีเลือกรถยนต์มือสอง แต่จะช่วยลบล้างความเชื่อผิดๆ ได้

เต็นท์ต้องย้อมแมวเสมอ - รถบ้านต้องสภาพดีกว่า


ความเชื่อผิด : คนส่วนใหญ่ยังเชื่อกันอยู่ว่า การซื้อรถมือสองจากผู้ประกอบการ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เต็นท์รถมือสอง ต้องเสี่ยงต่อการย้อมแมว ต้องถูกหลอก มักเอารถเน่ามาหลอกขาย สารพัดจะเละทั้งตัวถังห่วย ชนยับ เครื่องยนต์ช่วงล่างซ่อมแบบขอไปที มีส่วนจริงบ้างเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกเต็นท์ ส่วนรถที่ประกาศขายเองตามหน้านิตยสาร หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต ตั้งกล่องจอดข้างทางประกาศขาย หรือที่เรียกกันว่า รถบ้าน หลายคนรีบมองว่า น่าจะสภาพดีกว่ารถเต็นท์ เพราะเจ้าของใช้เอง ขายโดยไม่มีคนกลางราคาถูกกว่า รถก็สภาพดีกว่า ไม่มีการย้อมแมว


ความเป็นจริง : ของมือสองจะมีสภาพดีหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับแหล่งที่ขายเท่าไรนัก ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลและการใช้งานของเจ้าของเดิม และการปรับสภาพของผู้ขาย (ซึ่งอาจเป็นหรือไม่เป็นคนเดียวกับเจ้าของเดิม) เรื่องเต็นท์ย้อมแมว มีมาตลอดและยังมีอยู่เสมอ เพราะหลายคนทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน เน้นกำไรสูงๆ ไว้ก่อน ลูกค้ารู้ภายหลังไม่สน แต่เต็นท์หลายแห่งในระยะหลังมานี้ ต้องการทำธุรกิจระยะยาว ไม่รับซื้อรถสภาพแย่ๆ รถที่ขายอยู่ก็มีสภาพดี เพื่อให้ขายง่าย และสร้างชื่อเสียง ในระยะยาว เพื่อให้ลูกค้าคนเดิมวนกลับมาซื้ออีกหรือปากต่อปากบอกเพื่อนๆ ย่อมดีกว่าย้อมแมวขายแล้วลูกค้าสาปส่ง เรื่องนี้ต้องแล้วแต่นโยบายทางธุรกิจ
ส่วนรถบ้านนั้น มีทั้งแท้และเทียม เพราะพ่อค้ารถทราบดีว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่ เชื่อมั่นว่ารถบ้านต้องสภาพดีราคาถูก ผู้ซื้อมักจะชะล่าใจ ตัดสินใจง่ายไม่ดูละเอียด จึงใช้วิธีเช่าบ้านเอารถไปจอดขายทีละคันสองคัน ซึ่งก็ไม่แพงเท่าไร ค่าเช่าเดือนละไม่กี่พันบาท แล้วอาจจะอยู่อาศัยเองด้วย หรืออาจจะใช้วิธีฝากขายกับคนที่ไว้ใจ ปลอมเป็นรถบ้าน สังเกตได้ว่าผู้ขายจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดของรถคันนั้น อ้ำอึ้งเมื่อถูกถามลึกๆ และที่สำคัญคือ ชื่อในสมุดทะเบียน จะไม่ใช่ผู้ขายคนนั้น ส่วนรถบ้านแท้ๆ ขายโดยเจ้าของจริง ไม่จำเป็นว่ารถจะมีสภาพดี เพราะเขาอาจจะดูแลรถมาไม่ดี จนเต็นท์ไม่รับซื้อหรือไม่รับเทิร์น เลยต้องมาขายเอง เป็นเรื่องแปลกที่รถบ้านซึ่งซ่อมแบบขอไปที ไม่ถูกเรียกว่าย้อมแมว


ความเข้าใจที่ถูกต้อง : ให้ความเป็นกลางในใจในเรื่องของแหล่งที่ขาย ให้คิดว่าไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็มีโอกาสถูกย้อมแมวได้พอกัน จะได้ไม่ชะล่าใจ
สีสวย คือ สภาพดี อาจเพราะทำมาใหม่

ความเชื่อผิด : ไม่แปลกที่เมื่อเห็นรถคันใดสีสวยเงางาม ไม่มีรอยเฉี่ยวชนค้างอยู่ หลายคนจะคิดไปก่อนเลยว่า รถคันนี้สภาพดี เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็น เป็นอย่างแรก และไม่ซับซ้อนในการดู ถึงจะซ่อมสีมาหรือพ่นใหม่ทั้งคัน แต่ถ้าทำมาเรียบร้อย ไม่เป็นคลื่นเป็นลอน อย่างน้อยก็ดูดี และอาจทำให้ผู้ซื้อชะล่าใจ ดูส่วนอื่นไม่ละเอียด


ความเป็นจริง : สีสวย แต่อาจเป็นเพราะซ่อมมาแล้ว หรือทำมาใหม่ทั้งคัน หลังจากเกิดอุบัติเหตุ สวยเงางามไม่พอ จำเป็นต้องดูในรายละเอียดว่า ทำไมถึงสีเนียน เป็นสีเดิมจากโรงงานจริง หรือสีพ่นใหม่ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับอายุของรถด้วย ถ้ารถใหม่อายุไม่เกิน 7-8 ปี ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยของสีจากโรงงานผลิตที่พอจะทนอยู่ได้ ก็ไม่ควรจะมีการทำสีใหม่มาทั้งคัน ถ้าเคยซ่อมสีมาแผลสองแผลพอทำใจได้ หากทำสีมาทั้งคัน สันนิษฐานได้ 2 สาเหตุหลัก คือ เกิดอุบัติเหตุหนักหรือจอดตากแดดขาดการดูแล เพราะรถปีใหม่ๆ นั้นในแวดวงเขาเน้นกันว่าต้อง สีเดิม โดยผู้ขายมักจะบอกเน้นมากๆ ถ้าเป็นสีเดิมทั้งคัน เพราะจะชัดเจนว่า รถคันนั้นไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย ส่วนรถเก่าอายุเกิน 10 ปี แน่นอนว่าต้องมีการทำสีมาใหม่ แต่ควรจะใหม่แบบเรียบร้อย ไม่ใช่ใหม่แต่ภายนอก แต่ภายในหมกเม็ดเลอะเทอะ ทำแบบลวกๆ


ความเข้าใจที่ถูกต้อง : สีเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สวยแต่เปลือกก็มีเยอะ ถ้าเป็นรถใหม่ สีเดิมจากโรงงานย่อมดีที่สุด หลีกเลี่ยงการซื้อรถปีใหม่ๆ ที่ทำสีมาใหม่ทั้งคัน เพราะยังไงก็ไม่เนี้ยบไม่ทนเท่าสีโรงงาน ส่วนรถเก่าถ้าทำสีมาใหม่ ควรสวยทั้งนอกทั้งใน ละอองสีไเลอะเทอะ และอย่าลืมดูส่วนอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย เพราะไม่ใช่สีสวยแล้วตัวถังต้องดีเสมอไป
เคาะ..ป๊องๆๆ บางทั้งคัน อาจบางแค่ภายนอก

ความเชื่อผิด : ความบางจากการเคาะด้วย มะเหงกนั้น หมายถึง ตัวถังบางมีแต่เหล็กกับเนื้อสี ไม่มีสีโป๊วทับเนื้อเหล็กอยู่ใต้สีชั้นนอก ถ้าเคาะแล้วบาง เสียงก้องๆ ดังป๊องๆๆๆ เสียงไม่ทึบ แสดงว่าบาง ไม่เกิดอุบัติเหตุมา ไม่มีการชน แล้วเคาะซ่อมแล้วโป๊วสีทับ ผู้ขายบางคนรีบบอกเลยว่า รถคันที่จะขายบางทั้งคัน ป๊องทั้งคัน เพื่อแสดงว่าไม่มีการชนหนักมาก่อน ผู้ซื้อจะได้สนใจ


ความเป็นจริง : การเคาะด้วยหลังมือไปทั่วคันรถ สามารถตรวจสอบความบางของตัวถังด้านนอกได้ว่า มีสีโป๊วทับหรือไม่ แต่การที่ตัวถังในส่วนที่เคาะนั้นบาง ไม่ได้หมายความว่ารถคันนั้นไม่เคยเกิดอุบัติเหตุหนักๆ ทุกชิ้นที่อยู่ภายนอกอาจบาง ทั้งที่รถคันนั้นเคยชนเละมาแล้ว เพราะซ่อมแบบเปลี่ยนทั้งชิ้น เช่น เปลี่ยนประตูทั้งบาน ฝากระโปรงทั้งชิ้น หรือแม้แต่แผ่นหลังคา ถึงจะคว่ำมา ก็เปลี่ยนหลังคาทั้งแผ่นได้ ถ้าซ่อมโดยวิธี เคาะดึงโครงสร้างข้างในแล้ว ชิ้นนอกใช้วิธีเปลี่ยนเอา หลังมือเคาะ ยังไงก็ป๊องๆ ยังไงก็บางทั้งคัน


ความเข้าใจที่ถูกต้อง : การเคาะตัวถังภาย นอกบอกไม่ได้ว่า รถคันนั้นไม่เคยชน เพราะบอกได้แค่ว่า ชิ้นนั้นไม่เคยชน แต่ข้างในนั้นอาจชนมาเละ แล้วเปลี่ยนชิ้นใหม่ภายนอกมา อะไหล่ตัวถังทั้งแท้ เทียบ เทียม ใหม่ เก่า มีให้เลือกเปลี่ยนอย่างสะดวก เมื่อเคาะฟังเสียงข้างนอกแล้ว ที่สำคัญคือ ต้องดูตะเข็บ รอยเชื่อม รอยอาร์คภายในทุกจุด เท่าที่จะดูได้อย่างละเอียด ถึงจะทราบได้ว่ารถคันนั้นเคย เกิดอุบัติเหตุหนักๆ หรือไม่ การเคาะแล้วเสียงป๊องๆ เป็นส่วประกอบย่อยเท่านั้น ยุคนี้ชิ้นไหนๆ ก็เปลี่ยนกันได้ในราคาไม่แพง เลขระยะทางบนหน้าปัด อย่าเชื่อมาก

ความเข้าใจผิด : แม้คนส่วนใหญ่จะพอทราบกันว่า เลขกิโลเมตรบนมาตรวัดระยะทาง หรือเรียกกันแบบชาวบ้านว่า ไมล์ (ทั้งที่ไม่ใช่ระยะเป็นไมล์) สำหรับการซื้อ ขายรถมือสองนั้นเชื่อถือแทบไม่ได้ เพราะสามารถหมุนเลขกลับได้ง่าย มีช่างเก่งๆ รับทำให้ในราคาคันละ 500-1,000 บาทเท่านั้น แต่ผู้ซื้อก็อดไม่ได้ที่จะดูเลขไมล์ ประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ ดูเลขไมล์แล้ว ก็ไม่ค่อยเชื่อ บางคนยังไล่ไปดูร่องรอย การรื้อหน้าปัดด้วย ส่วนรถที่ใช้เลขไมล์เป็นดิจิตอล คนส่วนใหญ่คิด ว่าเปลี่ยนแปลง จากการใช้งานจริงไม่ได้ ทั้งที่บาง คันอาจทำ แต่อาจจะยากกว่าแบบอนาล็อก

ความเป็นจริง : ไม่ควรถือว่าเลขไมล์บนมาตรวัด เป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจ ควรดูสภาพส่วนอื่นที่สำคัญมากกว่าการเชื่อตัวเลขบน หน้าปัด เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ทั้งแบบอนาล็อก และดิจิตอล โดยในแบบหลังนั้น อาจจะใช้วิธีป้อนสัญญาณให้เลขวิ่งเดินหน้า จนกลับมาขึ้นรอบใหม่ก็เป็นได้


ความเข้าใจที่ถูกต้อง : เลขไมล์แทบไม่มีผลต่อการตัดสินใจ ถ้าสภาพของอุปกรณ์อื่นไม่สอดคล้องกัน เช่น เลขไมล์น้อย แต่เบาะทรุด เปื่อย ปุ่มกดต่างๆ เลอะเลือนหรือถูกกดจนเลี่ยนมนไปหมดแล้ว


รถเต็นท์ราคาแพง - รถบ้านราคาถูก

ความเชื่อผิด : ความเชื่อนี้ไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะรถในเต็นท์ส่วนใหญ่ มักจะมีราคาแพงกว่ารถบ้านแท้ๆ เพราะทำธุรกิจก็ต้องมีกำไร หรือต้องมีค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพ รถเต็นท์ย่อมต้องเนี้ยบ ส่วนรถบ้านนั้นอะไรพังนิดพังหน่อย เฉี่ยว นิดๆ หน่อยๆ แล้วยังไม่ซ่อม ก็ไม่มีใครว่า แต่รถ บ้านบางคันอาจจะตั้งราคาไว้แพง เพราะเจ้าของศึกษาราคาจากรถเต็นท์ ที่ประกาศไว้ หรือแพงโอเวอร์ไปเลยก็ยังมี และคิดไปเองว่าจะขายได้ราคาตามนั้น ทั้งที่ในเต็นท์นั้นเป็นแค่ราคาตั้ง พอซื้อจริงอาจจะลดได้อีกมากก็เป็นได้


ความเป็นจริง :
ในเต็นท์อาจแพงกว่ารถบ้าน แต่ถ้าซื้อเป็นเงินผ่อนก็สะดวกดี เพราะมีบริการหรือติดต่อแหล่งเงินกู้ให้ได้ หรือถ้าบางเต็นท์ร้อนเงิน หรือใช้นโยบายเงินหมุนเร็ว กำไรนิดหน่อยก็ขายดีกว่าแช่นาน ราคาก็อาจไม่แพง

ความเข้าใจที่ถูกต้อง : ตั้งเงื่อนไขในการซื้อไว้ว่า ราคาไม่เกี่ยวกับแหล่งที่ขาย จะซื้อที่ไหน ขอให้สภาพดีแล้วมีราคาที่เหมาะสมกันเป็นพอ ถูกแต่สภาพไม่ดี ก็ไม่น่าสน
เต็นท์รับประกัน ซ่อมฟรี ดูแลฟรี ไม่ดีคืนเงิน

ความเชื่อผิด : บริการหลังการขายตามโฆษณาซ่อมแบบค่าแรงฟรี เป็นระยะยาว คิดว่าช่างจะดี บริการเยี่ยม เสียแต่ค่าอะไหล่ หรือซื้ออะไหล่เข้าไปเองได้


ความเป็นจริง : เมื่อใช้บริการจริง กลับพบกับสารพัดปัญหา ช่างไม่เก่ง ค่าแรงฟรีจริง แต่บวกลงไปในค่าอะไหล่จนแพงเกินจริงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ จะซื้ออะไหล่ไปให้ก็อิดออด สารพัดจะบอกปัด เป็นเรื่องปกติครับ ขายรถมือสอง 1 คันได้กำไรไม่กี่บาท จะมาดูแลหรือซ่อมฟรีกัน ในระยะยาวได้อย่างไร แทบไม่เคยเห็นเต็นท์ไหนประกาศออกมาแล้วบริการจริงๆ ได้ดีเลย

การเลือกรถยนต์มือสอง แบบที่ผู้ซื้อดูอะไรไม่เป็นเลย นอกจากสีเงาๆ และทดลองขับดู เป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างมาก ถ้าสนใจจริงๆ ควรหาคนที่มีความรู้มากกว่า ถึงจะไม่เก่งมาก แต่ก็ยังดี และที่สำคัญคือ ลบความเชื่อผิดๆ ออกไปก่อน !

ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ภัยเงียบถึงขั้นหัวใจล้มเหลว


เหนื่อยง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หิวบ่อย ทานจุ น้ำหนักลดฮวบแม้ทานอาหารมากขึ้น ขี้ร้อน หงุดหงิดง่าย ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง คอมีขนาดโตขึ้น ตาโปน หากใครกำลังมีอาการดังกล่าวมาพึงระวัง เพราะอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกให้รู้ว่า ตอนนี้ต่อมไทรอยด์ของเรากำลังทำงานผิดปกติ ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากชะล่าใจปล่อยอาการทิ้งไว้ไม่รีบรักษา ก็อาจเสี่ยงถึงขั้นหัวใจล้มเหลว หรือบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

นายแพทย์ณัฐนนท์ มณีเสถียร อายุรแพทย์ด้านต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า “ไทรอยด์” เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นต่อมที่มีลักษณะคล้ายผีเสื้ออยู่บริเวณด้านหน้าหลอดลม ใต้ลูกกระเดือก มีขนาดประมาณ 15-30 กรัม เคลื่อนที่ขึ้นลงตามการกลืน โดยฮอร์โมนไทรอยด์นั้นจะทำหน้าที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และมีผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย ทั้งสภาพอารมณ์ จิตใจ การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ รวมทั้งการเจริญเติบโต สติปัญญา และพัฒนาการในเด็ก หากไทรอยด์ฮอร์โมนมีการทำงานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงานเร็วมากผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้คนไข้มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว หิวง่ายทานจุแต่น้ำหนักลดเร็ว โดยเราจะเรียกภาวะการทำงานผิดปกติชนิดนี้ว่า “โรคไทรอยด์เป็นพิษ” สำหรับสาเหตุหลักของโรคนี้ก็เกิดจากร่างกายของคนเราสร้างภูมิคุ้มกันไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานมากขึ้น หรือที่เรียกว่า โรค Grave’s Disease ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็อาจเกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ หรือการได้รับฮอร์โมนไทรอยด์จากแหล่งอื่น เช่น รับประทานยา หรืออาหารที่มีฮอร์โมนไทรอยด์เป็นองค์ประกอบ หรือจากเนื้องอกไทรอยด์ชนิดเป็นพิษ (Toxic nodular goiter) เป็นต้น ในปัจจุบันพบว่าคนไทยร้อยละ 1-3 คน ป่วยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ โดยพบในเพศหญิงมากกว่าชาย

สำหรับวิธีการรักษาโดยทั่วไปทำได้ 3 วิธี คือ การรับประทานยาเพื่อลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งผู้ป่วยมักต้องทานยาต่อเนื่องประมาณ 24-36 เดือน วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยอายุน้อย เป็นโรคมาไม่นาน ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตไม่มาก หรือผู้ป่วยที่มีข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น มีโรคประจำตัวหลายโรค การรับประทานน้ำแร่รังสีไอโอดีน เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เป็นโรคมานาน ผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซ้ำหลังรับประทานยาครบตามกำหนด ผู้ป่วยที่แพ้ยาต้านไทรอยด์แบบรุนแรง การผ่าตัด เหมาะกับผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมาก มีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียงจากต่อมไทรอยด์ เช่น กลืนลำบาก หายใจลำบาก หรือผู้ป่วยที่สงสัยอาจมีมะเร็งต่อมไทรอยด์ร่วมด้วย รวมทั้งผู้ป่วยที่มีอาการทางตาจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นรุนแรง (Severe Grave’s Ophthalmopathy) สำหรับภาวะต่อมไทรอยด์อักเสบ จะมีอาการไทรอยด์เป็นพิษเพียงชั่วคราว จึงไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านฮอร์โมน การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การรับประทานยาลดอาการใจสั่น กรณีที่มีใจสั่น มือสั่น หรือยาลดอาการปวดถ้ามีอาการปวดบริเวณต่อมไทรอยด์เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีภาวะการทำงานผิดปกติอีกชนิดหนึ่งของต่อมไทรอยด์ ที่พบว่ามีอาการตรงกันข้ามกับโรคไทรอยด์เป็นพิษก็คือ “ไทรอยด์ทำงานต่ำเกินไป” ซึ่งเป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมาได้น้อยกว่าปกติ ทำให้มีการเผาผลาญในร่างกายน้อยลงผิดปกติ ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่าย อ่อนเพลีย เชื่องช้า รู้สึกง่วงนอน เฉื่อยชาไม่กระฉับกระเฉง ขี้ลืม ประจำเดือนมามากผิดปกติ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เสียงแหบ ผิวแห้ง ใบหน้าเปลือกตาหรือมือเท้าบวม ซึมเศร้า ชีพจรเต้นช้า ถ้าเป็นมากอาจพบภาวะหัวใจวาย น้ำท่วมปอด และช่องเยื่อหุ้มหัวใจส่วนในเด็กเล็กจะมีพัฒนาการช้า ตัวเตี้ย และสติปัญญาต่ำได้ สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้งการทำงานของไทรอยด์ทำให้ไทรอยด์ทำงานน้อยลง สาเหตุอื่นที่พบได้แก่ การขาดสารไอโอดีน การอักเสบเรื้อรังของต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ การได้รับยาต้านไทรอยด์มากเกินไป การกลืนน้ำแร่รังสีไอโอดีน และโรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์แต่กำเนิด ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า

คุณหมอแนะนำว่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกตินั้นควรงดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะทำให้อาการทางตารุนแรงมากขึ้น เช่น ตาโปนขึ้น ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มบำรุงกำลังหรือกาเฟอีน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้น ควรงดออกกำลังกายหนักในช่วงแรกของการรักษา โรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาและทำให้รักษาหายยากขึ้น ในกรณีที่รักษาหายขาดแล้วควรมีการติดตามระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากอาจมีโอกาสกลับเป็นซ้ำ หรือเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำได้ ผู้ป่วยที่วางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการได้รับยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์บางชนิด (Methimazole) ในหญิงตั้งครรภ์ครั้งแรก หรือการรักษาบางวิธี เช่น รับประทานน้ำแร่รังสีไอโอดีน อาจก่อให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ ยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์อาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ ผื่นคัน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดข้อ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือเม็ดเลือดขาวต่ำได้ ดังนั้นถ้ามีอาการดังกล่าวหรือมีไข้เจ็บคอควรปรึกษาแพทย์ทันที

อย่างไรก็ตาม เราควรใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หมั่นสังเกตร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และถ้าพบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น กินจุแต่น้ำหนักลด ก็อย่าได้นิ่งนอนใจ ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจแต่เนิ่นๆ เพราะอาจเป็นสัญญาณที่เตือนเราได้ว่าตอนนี้ต่อมไทรอยด์ของเรากำลังทำงานไม่ปกติ คุณหมอณัฐนนท์ฝากทิ้งท้าย.


นายแพทย์ณัฐนนท์ มณีเสถียร
อายุรแพทย์ด้านต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม
โรงพยาบาลกรุงเทพ

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

...ไม่รักอย่าเลี้ยง...( อยากให้อ่านค่ะ)

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ซึ่งอยากแบ่งปันให้รับรู้ถึงคุณค่าของความรักและภักดี ว่าสัตว์เลี้ยงของคุณก็มีหัวใจ....

.......สองเดือนก่อนผมผ่านไปทำธุระในซอยแถวลาดพร้าวตอนบ่ายแก่ๆ หลังจากเสร็จธุระก็แวะกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งที่คุ้นเคยเป็นขาประจำกัน ....ระหว่างที่นั่งรออาหารอยู่นั้นมีรถเก๋งสีขาวคันหนึ่งแล่นมาจอดข้างฟุตบาธริมถนนฝั่งตรงข้ามสักครู่หนึ่งรถก็วิ่งออกไป บนฟุตบาธนั้นมีหมาตัวหนึ่งยืนอยู่ มันถูกปล่อยลงมาจากรถคันนั้น เป็นหมาสีขาว ลายด่างสีน้ำตาล ขนยาวขาวสะอาด และดููอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี เป็นหมามีสกุลรุนชาติ สวมปลอกคอหนังสีแดงสดใส มันยืนอยู่สักครู่ก็นั่งลงมองตามรถที่วิ่งจากไป ผมหันกลับมากินข้าวที่เด็กยกมาส่งให้ จนอิ่มคุยกับแม่ค้าสักพักก็เตรียมจะกลับบ้าน แม่ค้าพูดขึ้นว่า "คุณดูหมาตัวนั้นสิ นั่งนิ่งเหมือนหุ่นอยู่ตั้งนาน พี่ว่าเค้าเอามันมาปล่อยแน่เลย" ผมหันไปดูแล้วก็พยักหน้าให้แม่ค้า ก่อนจะเดินกลับไปที่รถไม่ได้สนใจอะไร


.......หนึ่งเดือนต่อมาผมกลับไปทำธุระที่เดิมอีก คราวนี้รู้สึกทึ่งที่พบว่าหมาตัวดังกล่าวนั่งอยู่ที่เดิม ในท่าเดิมที่เห็นเมื่อเดือนก่อน ต่างไปหน่อยตรงที่มันผอมลงมากๆ ไม่ขาวสะอาดเหมือนก่อน และดูเศร้าหมอง "มันนั่งอยู่อย่างนั้นตั้งแต่วันที่คุณเห็นนั่นแหละ พี่ว่ามันรอเจ้าของมันนะ เค้าคงเอามาปล่อย มันคงไม่รู้ตัวก็เลยรออยู่ที่เดิม มีคนสงสารพยายามจะเอามันไปเลี้ยงที่บ้าน มันก็ไม่ยอมไป เอาไปได้ไม่กี่ชั่วโมงมันก็หนีกลับมาอยู่ที่เดิม ฝนตกมันก็นั่งตากฝนอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมไปไหน พวกเราเอาอาหารไปวางให้กินมันก็กินนิดหน่อย ไม่ค่อยกิน ผอมจนน่ากลัว เจ้าของมันคงไม่รู้ว่ามันคอยอยู่อย่างนี้มาเป็นเดือนแล้ว เวลามีรถสีขาวที่เหมือนคันที่พามันมาวิ่งผ่านมา มันจะลุกขึ้นยืนโบกหางไปมา พอรถผ่านไปมันก็จะนั่งลงเหมือนเดิม"

.....ผมรู้สึกตื้นตันกินข้าวไม่ลง ก่อนกลับได้เดินข้ามไปทักทายมัน มันเงยหน้ามองผม แววตาของมันเศร้าหมองมาก และติดตาผมอยู่หลายวัน สองอาทิตย์ต่อมาผมพอมีเวลาว่างจึงตั้งใจขับรถไปเพื่อจะไปเยี่ยมเจ้าหมาที่รอเจ้าของตัวนั้น เมื่อไปถึงไม่เห็นมันอยู่ที่เดิมแล้ว ....."มันตายแล้วเมื่อสองวันก่อน มันไม่กินอะไรเลย เอาแต่นั่งชะเง้อมอง ตอนหลังมันสู้ไม่ไหวต้องนอนลงเพราะไม่มีแรง พวกเราพามันไปหาหมอ มันร้องดิ้นรนไม่ยอมไป มันคงกลัวเจ้าของกลับมารับแล้วไม่เจอ หมอบอกว่ามันขาดน้ำอย่างรุนแรง และตรอมใจ ร่างกายมันเลยไม่ไหว พี่อยากฝังมันไว้ตรงฟุตบาธ แต่คิดไปอีกที อย่าให้มันรอเค้าอีกเลย คนใจร้ายอย่างนั้น สู้ใจหมายังไม่ได้เลย ขอให้มันสิ้นสุดการรอคอยแค่นี้แล้วกัน"

...........นี่คือเรื่องจริงที่พบเจอมาและอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า หมาก็มีหัวใจ อย่าทำร้ายมันด้วยการทอดทิ้ง ถ้าไม่คิดว่าจะรัก ดูแลกันได้ตลอดไป อย่าเอามาเลี้ยงเลยครับ สงสารเขาเถิด

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

อ่านนะนี้ " เรื่องนี้เรื่องจริง " เตือนๆกันไว้

เธอและสามี ผู้รอบคอบไม่โลภ จึงไม่ตกเป็นเหยื่อ

มีอยู่วันหนึ่งเอาเงินไปเข้าแบงก์กรุงไทย อ่าวอุดม
ขากลับลงมา สามีเจอบัตร ATM ใส่ซอง และด้านหลัง
บัตร เขียนรหัส ATM ไว้ด้วย ทีแรกสามีไม่รู้ก็เก็บมา
แล้วก็ขึ้นมาบนรถ เราก็เอามาดูเห็นมีรหัส ก็เลยบอก
สามีว่า " ลองดูซิว่าเขามียอดเงินเท่าไร " สามีบอก
" ถ้าเธอเอาไปกด ตำรวจมาแน่เพราะ ตู้ ATM มีกล้อง
บันทึกไว้ว่าใครกด เวลาอะไร " สามีบอกเราว่า
" ถ้าเราไม่คิดอยากได้เงินเขา เราจะไปกดดูทำไม
เราก็ เออ จริงซิ แล้วเราก็เอาบัตรนั้นมาตัดทิ้ง
แล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายฟัง พี่ชายเราบอกว่า
มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ไม่ตกเป็นเหยื่อ
เพราะเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อนพี่ชายก็เกิดเหตุการณ์
นี้ในทำนองเดียวกัน ที่ ธ.กรุงเทพฯ สาขาศรีราชา
สังเกตุได้ว่า มักจะเป็นเฉพาะศุกร์แรกของทุกเดือน
หลังจากแบงก์ปิดแล้ว คล้ายกับแกล้งทำบัตร ATM
ตกอะไรทำนองนี้ แล้วเพื่อนพี่ชายก็ไปกดตอนนั้น
ประมาณ 6 โมงเย็น แค่นาทีเดียว ตำรวจก็เข้ามาจับ
พร้อมกับมีเจ้าของบัตร ไปยืนยันตัวด้วย และเรียก
ค่าเสียหาย กับเพื่อนพี่ชายไป 3 หมื่น ถ้าไม่อยาก
ติดคุก คืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์รวม 3 คืน เราคิดว่า
เขาทำกันเป็นขบวนการ รวมทั้งตำรวจด้วย มันคง
เอาไปแบ่งกัน (หรือปลอมเป็นตำรวจ?) เพื่อนๆ
ต้องระวัง เราเอง ก็เกือบไปแล้ว ดีที่มีสามีเตือนสติ

จาก...ท่านปกรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ระวังอันตรายจากหลอดประหยัดไฟรุ่นใหม่

สาเหตุเกิดจากชายผู้ประสบอุบัติเหตุคนนี้ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เพื่อเปลี่ยนหลอดไฟ แต่หลอดไฟร้อนจัด เลยหลุดจากมือ แล้วหล่นแตกบนพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาก้าวลงจากเก้าอี้ แล้วบังเอิญไปเหยียบเอาเศษ แก้วที่แตกอยู่ ทำให้เป็นแผลติดเชื้อรุนแรง จากเศษแก้วหลอดไฟที่มีสารปรอท เคลือบอยู่

สิ่งแรกที่จะต้องทำหลังจากที่หลอดไฟเกิดแตกอย่างกะทันหันนั้น คือ ควรจะรีบอพยพทุกคนที่อยู่ภายในห้องนั้นออกมาให้หมด และไม่ควรเข้าไปอีกเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที เพราะจะมี สารปรอท (สารพิษ) ที่อยู่ในหลอดไฟ ฟุ้งกระจายออกมาทั่วบริเวณ ซึ่งหากสูดดมสารปรอทเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน วิงเวียนศีรษะได้ และสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ หากสัมผัสหรือสูดดมสารนี้เข้าไป อาจทำให้ผิวหนังเกิดผดผื่นคันและแพ้อย่างรุนแรงได้

หากจะทำความสะอาดหลอดไฟที่แตก ก็ไม่ควรทำความสะอาดเศษของหลอดไฟด้วยเครื่องดูดฝุ่น เพราะมันจะทำให้สารพิษแพร่กระจายไปยังห้องอื่นๆ ได้ เมื่อใช้เครื่องดูดฝุ่นเครื่องเดียวกันในครั้งต่อไป ฉะนั้นควรจะทำความสะอาดด้วยไม้กวาดหรือแปรง และเก็บเศษหลอดไฟและอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ใช้นั้นในถุงปิดผนึก และนำไปทิ้งนอกอาคารในถังประเภทสำหรับทิ้งวัตถุอันตราย

แจ้งข่าว...!!!

แจ้งข่าว...ช่วงนี้มีแตงโมวางจำหน่ายตามท้องตลาดเยอะมากคับ ถ้าท่านซื้อแตงโม ถ้าผ่าออกมาแล้วเห็นแตงโมมีลักษณะเหมือนในภาพนี้ ห้ามรับประทานนะคับ เพราะแตงโมผลนั้นผ่านการฉีดสารเร่งสีแดงคับ...แชร์ต่อๆกันไปด้วยนะคะ

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

กรุงเทพ 21 จุดที่ท่วมบ่อยที่สุด>>>>

ฝนตกรถเป็นเรื่องปรกติแต่ถ้า ติดเป็นชั่วโมง ๆ ก็ทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้เหมือนกัน วันนี้เรามีถนนที่รถติดที่สุดเมื่อมีฝนตกลงมา ซึ่งหากใครที่ผ่านเส้นทางนั้นจะได้หลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าฝนทำให้ช่วงเย็น ๆ ฝนตกแทบจะทุกวันหากใครที่หลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านี้ได้ก็ให้เลือกทันทีครับ อ้อม ๆ แต่รถไม่ติดยังดีกว่านะคะ


อาจจะดูแล้วไม่สำคัญอะไรมากมายนัก แต่ ก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะกับคนที่ใช้รถใช้ถนน ทั้งหลายที่อาจจะเบื่อกับการผจญการจราติดขัดไม่เว้นแต่ละวัน


สถานที่ต่างๆ 21 แห่ง ต่อไปนี้ ได้รับการระบุว่า มันควรหลีกเลี่ยงทันทีเมื่อพบว่าสภาวะลมฟ้าอากาศ เกิดฝนตกหนัก ทำให้ ที่เหล่านี้เป็นจุดวิกฤต และเพื่อประหยัดเวลา รวมถึงน้ำมัน ซึ่งเราควรจะเลี่ยงทันที ดังต่อไปนี้


1.รัชดาภิเษก บริเวณหน้าห้างโรบินสัน
2.ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ แยกห้วยขวาง แยกหน้าเขต
3.ถนนศรีอยุธยา หน้าวังสวนผักกาด
4.ถนนประชาสุข แยกประชาสุข-แยกห้วยขวาง
5.หน้าโรงเรียนพิบูล-แยกด่วนดินแดง(คู่ขนาน)
6.หน้า สน.พญาไท-แยกศรีอยุธยา
7.รามคำแหงขาออก-เข้ารามคำแหง 21-26 ช่องทางซ้าย
8.รามคำแหงซอย 24


9.รามคำแหงซอย 26
10.ถนนรัชดาภิเษก ขาออก หน้าสถานทูตจีน
11.ถนนเพชรบุรีขาเข้า แยกเป๊ปซี่-อโศกเพชรบุรี
12.แยกอโศก-แยกอโศกเพชรบุรี
13.แยกแม่พระ-แยกพระราม 9 (ช่องทางซ้าย)
14.ถนนวิภาวดีรังสิต ขาออกหน้าร.1 รอ.-สโมสรทหารบก
15.หน้า NBT-ใต้ทางด่วนดินแดง
16.อโศกทางลัด ซอย31 ,33 และ 39
17.ถนนพลหโยธินขาออก ก่อนถึงแยกเกษตร (ช่องทางซ้าย)
18.ถนนนครชัยศรี บริเวณหน้ากรมสรรพสามิต
19.ถนนรัชดาภิเษก หน้าฟอร์จูนขาเข้า-แยกพระราม 9
20.ถนนพัฒนาการ ซ.9-ซ.17
21.ถนนพัฒนาการ ซ.13, ซ.15 , ซ.17 บริเวณตรงข้ามบริษัททรู

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ

อาการต่าง ๆ ของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน สามารถบอกอะไรเราได้หลายๆ อย่างคะ เพียงแค่ใส่ใจ และสังเกตเห็น โรคร้ายก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่าง ๆ

1. มะเร็งปา
กมดลูก

อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบ เดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวด และมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก

อาการมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อ หรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่

อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย น้ำหนักลด และมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)

อาการเหนื่อยง่ายแ ละมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืด และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวม ที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด

อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออก และมีเสมหะปนมากับน้ำลาย น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกแล ะหายใจลำบากห รืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ

อาการ ปวดในช่อง ท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง

อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียน หรือการผิดปกติของการมองเห็นตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วน ของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชา และเป็นอัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษ หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก

อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ

อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอ ที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร

อาการ น้ำหนักลดลง อย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก

อาการ มีเลือด หรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวม หรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้ เมื่อคลำบริเวณ ใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่ม หรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านม เป็นเวลานาน ควรระวัง เพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อ บริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนัง ที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้น ให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้

อาการ น้ำหนัก ลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออก ปนมากับอุจจาระ
*ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว คือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้ว เลือดมีสีแดงสดนั่น คืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรค มะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อาการ มีก้อน บวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อ ในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิว หนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพอง ที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็น เวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้ อาการอันตราย อีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วย เซลล์ที่มีเมลานิน สะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน คุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ ขับรถลุยน้ำท่วม ระวังประกันภัยไม่รับผิดชอบ!!!

หลายคนอาจสงสัยว่าในกรณีที่เราขับรถยนต์ลุยน้ำท่วมแล้วรถเสียนั้นประกันจะให้ความคุ้มครองหรือไม่ หากท่านทำประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ก็ต้องบอกว่าคุ้มครอง แต่ในความคุ้มครองนั้นก็ยังมีเงื่อนไข ประกันภัยอาจปฏิเสธในกรณีถ้ารถเสียจากการขับรถไปลุยน้ำท่วม แต่จะรับผิดในกรณีที่รถจอดอยู่กับที่และไม่ติดเครื่อง เช่น จอดอยู่ในบ้านและหนีน้ำไม่ทัน


ต้องยอมรับเลยว่าทุกครั้งที่ฝนตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง หลายพื้นที่ในกทม.ต้องเจอกับน้ำท่วมขังเสมอ จนบางครั้งก็ทำให้รถยนต์ขนาดเล็กขับขี่สัญจรด้วยความยากลำบาก ต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น เพราะรถอาจดับกลางอากาศหรือเกิดความเสียหายได้


กรณีที่น่าจะเข้ากับสถานการณ์ช่วงนี้น่าจะเป็นกรณีแรก คือ ขับรถไปลุยน้ำท่วม น้ำเข้าเครื่องยนต์เครื่องดับ การแก้ไขทำได้ยากหรือบางเคสต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจสูงถึงหลักแสน การที่คุณขับลุยไปฝ่าไป ทั้งที่รู้ว่าน้ำท่วมขังสูง ประกันภัยอาจใช้เป็นเงื่อนไขในการปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะถือว่าเจตนานำรถไปให้เกิดความเสียหาย ดังนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การแจ้งเคลมกับพนักงานเคลมว่าลักษณะการเกิดเหตุเป็นเช่นไร เพราะใช่ว่าทุกครั้งที่ขับรถไปแล้วจะเจอน้ำท่วม คุณอาจไม่ทราบว่าข้างหน้ามีน้ำท่วมถนนสูงมากจนขับรถผ่านไม่ได้ จึงควรแจ้งเคลมโดยบอกว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่การเจตนาหรือจงใจ ส่วนทางประกันจะหาหลักฐานหรือโต้แย้งอย่างไรก็ค่อยว่ากันไป


เนื่องจากบริษัทประกันภัยแต่ละแห่งมีรายละเอียดแตกต่างกัน ควรศึกษาข้อมูลบริษัทประกันภัยและเงื่อนไขของประกันภัยที่คุณได้ทำไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อความอุ่นใจในการขับขี่รถยนต์ พยายามติดตามข่าวสารสภาพการจราจร และหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังจะดีกว่า

เรื่องของยาง กับ ฝนตก

เรื่องของยาง กับ ฝนตก 

-อายุยาง 3 ปี 50,000 กิโล ถ้าใช้รถมากต่ำกว่า Marker ต้องเปลี่ยน 

-ใข้รถน้อย ถ้ายาง 4-5 ปี ดอกยังเต็ม ใช้ต่อได้ แต่ยางจะแข็งหน่อย

-ร่องยางเป็นตัวรีดน้ำ ถ้ามีเศษหินไปขัด อาจเหินน้าได้ ให้รีบงัดออก

-ลายดอกยางด้านข้างถ้าสึกไม่เท่ากันรีบให้ช่างตรวจสอบช่วงล่าง

-ดอกยางด้านข้างเป็นส่วนยึกเกาะถนน ถ้ามีเศษหิน ให้รีบงัดออก

ถ้าต้องเปลี่ยนยางใหม่ เลือกตามการใช้งาน ดังนี้

1.ยาง Slic

สำหรับรถแข่งทางเรียบแห้ง รถบ้านไม่เหมาะเพราะฝนตกจะลื่นมากๆ

2.ยาง 2 ทาง

เป็นที่นิยม รีดน้ำ-เกาะถนนได้ดี สลับยางได้ทุกตำแหน่ง ก่อนซื้อสังเกตุดอกยางซ้าย-ขวาจะสวนทางกัน

3.ยางทิศทางเดียว ( Rotation)

ยางชนิดนี้จะรีดน้ำได้ดีกว่าแบบแรก สังเกตหลายดอกยางจะไปในทางเดียวกัน แก้มยางจะพิมพ์ Rotation ข้อเสีย สลับยางได้เฉพาะหน้า-หลังฝั่งเดียวกัน ถ้าจะสลับข้ามอีกฝั่งต้องถอดยกไปทั้ง MAX

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการเคลมประกันศูนย์ฯ ที่ทุกคนควรรู้