วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไร

การที่จะทราบว่าการกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรนั้นเราต้องทราบก่อนว่าขั้นตอนที่ยาจะไปออกฤทธิ์นั้นเป็นอย่างไร เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยาเม็ดหรือแคปซูล ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ในกระเพาะและทางเดินอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป แต่ถ้าเป็นยาน้ำขบวนการนี้ก็จะเร็วขึ้น

ยาจะออกฤทธิ์เมื่อได้เข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย อาหารบางอย่างมีผลต่อการดูดซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้เกิดการระคายเคือง ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่าต้องการผลการของยาในแง่ใด ปกติเมื่อกระเพาะมีอาหารอยู่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเพาะว่าง

จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันที, หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอาหาร จะมีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาที่กระเพาะอาหารไม่ว่างเหมือนกัน ดังนั้นเราจะกำหนดเวลาไปด้วยว่ากินก่อนอาหารหรือหลังอาหารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ

จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขปดังนี้ กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง
เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ได้แก่ เพนนิซิลลิน, แอมพิซิลิน, ไรแฟมพิซิล เป็นต้น บางทีเราก็ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินจนถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกันบ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง หรือบีบตัวของกระเพาะและทางเดินอาหารคนที่เป็นโรคกระเพาะนั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยาก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดท้องได้ ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิดการอยากอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหารประมาณ 1/2 ชั่วโมง พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขึ้น

กินหลังอาหารทันที = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร

ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารมาก ทำให้คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ยาแก้ปวดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโปรเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น นอกจากกินพร้อมอาหารแล้วยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้
กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรดซึ่งมีผู้ทดลองได้ผลว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่าง ยาจะออกฤทธิ์นานประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง ดังนั้นจึงกำหนดให้กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, หลังอาหาร, พร้อมอาหารมาแล้ว ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็กน้อย ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงมึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัยในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้อย่างสบายในเวลากลางคืนอีกด้วย

จึงขอสรุปได้ว่า จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการให้ยานั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลังนานเท่าใดนั้น ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินยาจนถึงเวลาที่ยาถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหารหมด หรืออาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์แล้วแต่ว่าเราต้องการผลอันไหน

คงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหารมีความสำคัญเพียงใด ดังนั้นเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะตกอยู่กับตัวของผู้ป่วยเอง 

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โรคไฟโบรมัยอัลเจีย เคยได้ยินหรือเปล่า ?

ท่านเคยมีอาการปวดกล้ามเนื้อไปทั้งตัว กดโดนตรงไหนก็เจ็บ ไม่มีแรง ปวดบริเวณต้นคอ สะบักหลัง รู้สึกตึงไปหมด เหนื่อยง่าย เป็นทุก ๆ วัน เป็นหลายเดือนหรือ ถึงเป็นปี อาการที่กล่าวมาแล้วฟังดูเหมือนเป็นอาการสามัญที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนไม่น้อย กลุ่มอาการที่กล่าวมานี้คือ กลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจีย (fibromyalgia syndrome) ซึ่งเป็นภาวะหรือกลุ่มอาการปวดเรื้อรังที่พบได้เสมอ ๆ มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย คนที่เป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจียจะมีอาการปวดไปทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อต่าง ๆ แต่จะมีจุดปวดเป็นพิเศษบางตำแหน่งที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกาย จุดเหล่านี้จะไวต่อแรงกดมาก แค่เพียงลูบคลำก็ทำให้เกิดอาการปวด หรืออาการปวดจะเด่นชัดขึ้นทันที นอกจากอาการปวดแล้วผู้ป่วยโรคไฟโบรมัยอัลเจียยังรู้สึกอ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง ไม่มีสมาธิทำงาน จิตใจหดหู่ไม่อยากทำอะไร แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนจากการศึกษาทางห้องปฏิบัติการว่า ไฟโบรมัยอัลเจีย ไม่ใช่โรคหรือกลุ่มอาการผิดปกติทางด้านจิตใจไม่ใช่โรคเครียดหรือโรคซึมเศร้า ปัจจุบันถึงแม้ยัง ไม่ทราบกลไกที่แท้จริงที่ทำให้เกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย แต่เชื่อว่าความผิดปกติในการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดไปทั้งตัวจากการรับรู้ความเจ็บปวดของระบบประสาทมีการเปลี่ยนแปลงไป ในคน 100 คน จะพบคนที่เป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจียประมาณ 2 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงในวัยทำงานถึงวัยเกษียณ ผู้ชายก็พบได้แต่น้อยกว่าผู้หญิงประมาณ 4-7 เท่าปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิดโรคนี้อาจเป็นความกดดันหรือความเครียดที่เกิดจากการทำงานนอกบ้าน ร่วมกับภาระงานบ้านที่มาพร้อมกัน

ผู้ที่เป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจีย จะมีอาการปวดที่กระจายทั่วไปเป็นนานกว่า 3 เดือน บางครั้งอาการปวดจะเป็นมากด้านซ้ายหรือด้านขวาของร่างกายมากกว่าอีกด้านหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีระดับการรับรู้ความเจ็บปวดที่ไวต่อการกระตุ้นมากกว่าคนทั่วไป บางคนบรรยายอาการปวดว่าเหมือนไฟเผาทั้งตัว หรือเหมือนของแหลมทิ่มแทงทั้งตัว จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่ามีผู้ป่วยถึงร้อยละ 15 ที่ไม่สามารถ กลับไปดำรงชีวิตในสังคมหรือทำงานได้ตามปกติ มี ผู้ป่วยถึงร้อยละ 70 ที่อาการปวดเรื้อรังทำให้เกิดความซึมเศร้าทางอารมณ์ ทำให้เกิดความไขว้เขวว่า ผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชนำไปสู่การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการ

รักษาที่ผิดวิธี

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย แต่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในระบบประสาทของผู้ป่วย เช่น มีการเพิ่มขึ้นของระดับของสารที่เป็นสื่อ ของการถ่ายทอดการรับรู้ความเจ็บปวดที่เรียกว่า substance P (P คงมาจาก pain) ในสมอง บางส่วนและในน้ำไขสันหลัง มีการทำงานของสมองบางส่วนมากกว่าปกติก่อนที่จะเกิดอาการ ปวดขึ้น มีความผิดปกติในกลไกการควบคุมฮอร์ โมนบางอย่างหรือการไหลเวียนของโลหิตในสมองที่ลดลงต่ำกว่าค่าปกติ ทำให้ในปัจจุบันเชื่อว่า การเกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ในลักษณะที่ทำให้ ร่างกายรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดได้ไวกว่าปกติจากจุดกระตุ้น และกลายเป็นความเจ็บปวดที่กระจายไปทั้งตัว ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดเฉพาะที่กล้ามเนื้อเท่านั้น ตามชื่อโรคไฟโบรมัยอัลเจีย แต่ก็ยังไม่มีชื่อใดที่เหมาะสมที่จะใช้เรียกชื่อโรคนี้ได้เลยยังใช้ชื่อเดิมอยู่

อาการปวดไปทั้งตัวในผู้ที่เป็นโรคไฟโบร มัยอัลเจียเป็นอาการที่เกิดขึ้นในโรคต่าง ๆ ได้หลายโรค ถ้าเช่นนั้นจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคไฟโบร มัยอัยเจีย การจะแน่ใจหรือให้การวินิจฉัยว่าเป็น โรคไฟโบรมัยอัลเจีย อาศัยประวัติการเจ็บป่วยที่มีอาการปวดกระจายไปทั่วตัว แต่อาจจะไม่เท่ากัน บางคนเป็นด้านซ้ายหรือด้านขวามากกว่า และ เป็นมานานมากกว่า 3 เดือน ร่วมกับการตรวจ ร่างกายที่อาศัยการที่ผู้ป่วยโรคนี้จะมีจุดที่ไวต่อแรงกดเป็นพิเศษ สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดด้วยแรงกดเบา ๆ ที่ปกติบริเวณอื่นหรือในคนทั่วไปจะเป็นแค่รู้สึกว่าถูกกดจุดต่าง ๆ เหล่านี้มีตำแหน่งกระจายอยู่ทั่วร่างกายมีประมาณ 18 จุด ซึ่งมักจะใช้รูปปั้นสมัยกรีกที่มีชื่อเสียงที่เรียก “รูปปั้นสามสาวพี่น้อง” (the three sister) เนื่องจากรูปปั้นนี้จะเผยให้เห็นสัดส่วนของร่างกายครบทั้งด้านหน้าและด้านหลังจากการมองครั้งเดียว ในระนาบเดียว (ดังภาพ) ถ้าลองกดตามจุดต่าง ๆ นี้แล้วพบว่าจุดที่กดเบา ๆ แล้วกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้ 11 จุดหรือมากกว่าจาก 18 จุดก็ถือว่าให้การวินิจฉัยโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้ ซึ่งเป็นการตรวจที่ไม่ยากมากเพียงแต่ต้องทราบว่าจุดต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ตรงบริเวณไหนของร่างกายเท่านั้น แต่ก่อนจะถึงขั้นนี้ก็ต้องนึกถึงก่อนว่า อาการปวดทั้งตัวนี้อาจจะเกิดจากโรค ไฟโบรมัยอัลเจียได้ จึงจะมีการตรวจกดจุดเหล่านี้ดู ถ้าไม่นึกถึงก็คงไม่ลงมือกดจุดดูตัวอย่างของจุดเหล่านี้ เช่น จุดบริเวณท้ายทอย จุดบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอทั้งซ้าย ขวา จุดบริเวณมุมกระดูกสะบัก จุดบริเวณข้อศอก จุดบริเวณตะโพก จุดบริเวณด้านในของข้อเข่า เป็นต้น

กลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจียนี้นอกจาก จะเกิดขึ้นกับคนทั่วไปแล้วในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรค เอส แอล อี (SLE) หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ก็อาจมีกลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจียเกิดขึ้นร่วมด้วยได้ เช่น จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรค เอส แอล อี ประมาณร้อยละ 30 มีกลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจียร่วมด้วย นอกจากนี้ในภาวะที่มีความกดดันหรือภาวะเครียดเรื้อรัง เช่น ในภาวะสงคราม ก็มีอุบัติการณ์ของโรคไฟโบรมัยอัลเจียเพิ่มขึ้น ทหารอเมริกันที่ไปรบในสงคราม ในประเทศอิรักแล้วมีอาการป่วยพบว่าป่วยเป็น กลุ่มอาการไฟโบรมัยอัลเจียถึงร้อยละ 33

ยาที่ใช้ในการรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ที่ใช้กันมากที่สุดอันดับแรกคือ ยาต้านการอักเสบ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ รองลงไปคือยาแก้ปวดพารา เซตามอล อันดับสามคือยาคลายเครียดและ ยานอนหลับ หรือใช้ยาทั้ง 3 ชนิดนี้ร่วมกัน ใน ปัจจุบันมีการใช้ยากลุ่มอื่น ๆ อีกหลายกลุ่มมา ช่วยในการรักษาโรคนี้ให้ได้ผลมากขึ้นทั้งยาแก้ปวด กลุ่มอื่น ยากันชัก และฮอร์โมน ที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคนี้คือ การติดตามผู้ป่วยอย่างต่อ เนื่องเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย และผู้ให้การรักษา ทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้ใจและ มีความมั่นใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการติดตามผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือเป็นโอกาส ปรับเปลี่ยนการรักษาให้ได้ผลมาก ขึ้น เป็นโอกาสให้ร่วมกันหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในกิจวัตรส่วนตัวและการดำเนินชีวิต ในสังคมด้วยวิธีการสร้างสรรค์ให้กำลังใจ เป็นการเสริมพฤติกรรมและคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น 



ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี.

เทคนิคการลากรถอย่างถูกวิธี

น้ำหอม-การบูร-พิมเสน ควรใช้ในรถมั๊ย ??


ถ้าชอบความหอม-สดชื่นก็ติดตั้งได้ แต่ควรมั่นทำความสอาดตู้แอร์ทุก 2-30,000 กม. และเปลี่ยนกรองแอร์อย่างสม่ำเสมอ 

การบูร-พิมเสน หากทิ้งแตกแดดไว้นานๆ เคมีอาจกลายสภาพเป็นสารที่สูดดมแล้ววิงเวียนศรีษะ หากชอบกลิ่นการบูร ควรมั่นเปลี่ยนบ่อยๆ

หากไม่เคยล้างตู้แอร์ ไอระเหยของน้ำหอมจะวนอยู่ในตู้แอร์ นานๆจะจับตัวเป็นคราบเหนียว และเป็นแหล่งเพาะบ่มเชื้อโรค อีกทั้งทำให้แอร์ตัน Com Air ทำงานหนัก และเสียเร็วก่อนกำหนด

-ทางแก้กลิ่นภายในรถ

1.หากใช้รถเกิน 30,000 กิโล ควรล้างตู้แอร์ และเปลี่ยนกรองแอร์

2.หาถ่านใส่ถังอบไว้ในรถซัก 1 อาทิตย์ และ/หรือ เปิดประตูตากแดด

3.หลีกเลี่ยงทานอาหาร-สูบบุหรี่ หากจำเป็นควรเปิดกระจกระบาย

ใครบ้างที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

1. ชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
2. ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีแต่มีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่
ประวัติโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว
ประวัติโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

ประวัติโรคมะเร็งหลายชนิดร่วมกันในครอบครัว

( ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกวิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมเป็นรายๆไป)

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่มีอุบัติการณ์สูงทางประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้น 142,950 ราย ต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 52,857 รายในแต่ละปี

ส่วนในยุโรป จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่าโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นสาเหตุอันดับที่สองรองจากมะเร็งเต้านมในเพศหญิงและมะเร็งต่อมลูกหมากกับมะเร็งปอดในเพศชาย โดยมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ถึงปีละ 450,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากถึงปีละ 232,000 รายทั่วยุโรป สำหรับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประเทศไทยเอง แม้ว่าจะมีอุบัติการณ์ไม่สูงเท่ากับประเทศในยุโรปหรืออเมริกา แต่ก็พบประมาณการผู้ป่วยใหม่มากกว่า 65,000 รายต่อปี หรือประมาณ 25 รายในประชากร 100,000 ราย ทั้งในเพศชายและเพศหญิง และยังเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันต้นๆอีกด้วย

เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคมะเร็งทุกชนิดนั้น หากมีการตรวจพบตั้งแต่ระยะต้นผลของการรักษาจึงจะดี ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีคำแนะนำให้มีการ “ตรวจคัดกรอง” (screening) เพื่อหาโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาหากตรวจพบโรค รวมถึงการศึกษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเพื่อการป้องกัน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีคำแนะนำให้ประชากรที่มีอายุมากกว่า 50 ปีทุกรายได้รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการต่างๆและพบว่าสามารถลดอัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตจากโรคนี้ได้อย่างชัดเจน

จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าประมาณร้อยละ70 ของโรคมะเร็งลำไส้เกิดจากติ่งเนื้อขนาดเล็ก (polyp) ที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ดังนั้นการตรวจคัดกรองเพื่อหาติ่งเนื้อดังกล่าวและตัดออกไปก็สามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ การศึกษาของประเทศไทยเองพบว่าโอกาสตรวจพบติ่งเนื้อในประชากรที่มารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ30 โดยมากขึ้นตามอายุ ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่มีรายงานไว้ได้แก่ ผู้มีประวัติติ่งเนื้อในลำไส้หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว (โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคตั้งแต่อายุน้อยกว่า 50 ปี) โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ เป็นต้น 


http://www.samitivejhospitals.com/healtharticle_detail/ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่_1162/th
 — กับ Black Henและ Tschudin Koy

ผักผลไม้ค้างคืน มีสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นกว่าตอนสด ๆ ซะอีก

หากคราวหน้าคุณคิดจะปาสตรอเบอรีหรือองุ่นค้างคืนทิ้งละก็ 
อย่าเพิ่งนะครับ

เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียมเพิ่งรายงานมาว่า ผักและผลไม้เหล่านี้ยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่อีกหลายวันหลังจากที่เราซื้อมา บางชนิดแม้เราจะเห็นว่าใกล้เสียแล้วก็ยังมีคุณค่าอยู่แถมบางชนิดยิ่งเก่าเท่าไรยิ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระมากเท่านั้นครับ

อายุของผักและผลไม้นั้นเราอาจสังเกตได้จากรูปร่างลักษณะภายนอก

แต่ผักผลไม้อายุมาก ที่เราพยายามจะเขวี้ยงทิ้งกลับมีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ คำว่ามีประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามีรสชาติอร่อย หรือมีคุณค่าทางโภชนาการสูงนะครับแต่หมายความว่า มันมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางพันธุกรรม เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นักวิจัยกล่าวว่ายังไม่มีการศึกษาใดที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบการเก็บต่อระดับสารต้านอนุมูลอิสร

Claire Kevers และคณะได้สรรหาผักผลไม้หลายชนิดจากตลาดเบลเยียมมาทดสอบระดับสารต้านอนุมูลอิสระในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปหลังจากเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องหรืออุณหภูมิ 37 องศาฟาเรนไฮต์ในตู้เย็น

จนกระทั่งผักผลไม้นั้นๆ จะเริ่มเน่า ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าหลังจากทิ้งผักผลไม้ที่ซื้อจากตลาดไว้หลายวัน ผักผลไม้เหล่านั้นยังคงมีสารประกอบจำพวกฟีนอล กรดแอสคอร์บิกและเฟลโวนอล สารเคมีทั้งสามที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับระดับสารต้านอนุมูลอิสระ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้นหลังจากวันที่ซื้อมานั้นเกิดจากการเพิ่มขึ้นของสารประกอบเหล่านี้ครับ

สรุปว่าผักและผลไม้ที่ค้างคืน แม้จะดูไม่น่าทาน แต่ก็มีประโยชน์อยู่นะครับ ไม่จำเป็นต้องรีบทิ้ง 


http://www.panclinic.com/

ไซลาซีน (Xylazine) ยาสลบสำหรับสัตว์ที่ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวและจดหมายเตือนจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเรื่องมีการนำยาสลบสำหรับสัตว์ที่ชื่อ ไซลาซีน (Xylazine) มาผสมในเครื่องดื่ม เพื่อทำให้ผู้ที่ได้รับยานี้เข้าไปหมดสติ และมีการขโมยทรัพย์สินไปโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว

ไซลาซีน (Xylazine) เป็นยาสลบที่ใช้กับสัตว์ เช่น ม้า วัว กวาง รวมทั้งสัตว์ทดลองต่างๆ ยานี้เป็นอนุพันธ์ของยา Clonidine โดยออกฤทธิ์กระตุ้น α2receptors ทั้งที่ระบบประสาทส่วนกล่างและทั่วร่างกาย มีฤทธิ์ทำให้ง่วงไปจนถึงสลบ มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและยังมีฤทธิ์แก้ปวดอีกด้วย ฤทธิ์ของยาส่วนใหญ่จะเป็นฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางและผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

ฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง จะทำให้อยู่ในภาวะสะลึมสะลือหรือสภาวะหลับขึ้นอยู่กับขนาดยาที่ได้รับ และจะมีฤทธิ์อยู่นานประมาณ 1-2 ชั่วโมง และยังมีผลทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวจนเกิดเป็นภาวะกล้ามเนื้อเปลี้ยได้ รวมทั้งอัตราการหายใจก็ลดลงด้วย

ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ในช่วงแรกมักทำให้ความดันโลหิตขึ้นสูง แต่หลังจากนั้นความดันโลหิตจะลดต่ำลงและอยู่นานตลอดระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์รวมทั้งอาจมีผลกดการทำงานของหัวใจและทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอีกด้วย

ปกติยานี้จะใช้สำหรับฉีดเพื่อทำให้สัตว์สงบลงหรือใช้ในการผ่าตัด ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยาสลบสำหรับสัตว์จะเป็นControlled drug จะต้องมีการเก็บในตู้ที่ใส่กุญแจและต้องมีการควบคุมการใช้อย่างเคร่งครัด

ยานี้เป็นยาน้ำใส หรือเป็นยาผงสำหรับผสมฉีด เมื่อใส่ลงไปในเครื่องดื่มแล้วจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งสี ความขุ่นและกลิ่นของเครื่องดื่ม ทำให้มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด ทำให้ผู้ที่ได้รับยานี้เข้าไปมีอาการดังที่กล่าวข้างต้น อาการจะรุนแรงมากหรือน้อยขึ้นกับขนาดยาไซลาซีน (Xylazine) ที่ได้รับเข้าไป ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า โดยเฉพาะเวลาเดินทางหรืออยู่คนเดียว เพราะอาจมีมิจฉาชีพกระทำการในลักษณะนี้ได้

การดูแลตนเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นเหยื่อเหล่านี้ นอกจากนั้นต้องมีการควบคุมการจำหน่ายและการมีไว้ในครอบครองของยาเหล่านี้อย่างเคร่งครัดต่อไป

รศ.ดร.ภญ.จุฑามณี สุทธิสีสังข์
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ไวรัสตับอักเสบ กินไม่ดี ติดง่าย !

ตับป่วยจากไวรัสเอ ระบาดหนักหน้าร้อน แพทย์เตือนติดเชื้อง่าย ผู้ใหญ่ป่วยรุนแรงกว่าเด็ก นพ.สุขประเสริฐ จุฑากอเกียรติ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี อากาศร้อนๆ แบบนี้ เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี หน่วยงานด้านการแพทย์จึงมักออกคำเตือนให้ระวังการระบาดของโรคบางชนิดในหน้าร้อน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมีโรค "ไวรัสตับอักเสบเอ" รวมอยู่ด้วย

เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง "นพ.สุขประเสริฐ จุฑากอเกียรติ" อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี เผยว่า เมื่อเราพูดถึงโรคไวรัสตับอักเสบ อันที่จริงมีหลายชนิด ส่วนที่พบบ่อยในบ้านเรา คือ ชนิดเอ บี และซี โดยไวรัสตับอักเสบชนิดเอ เราทุกคนมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ทั้งจากการทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ และการทานอาหารร่วมกับผู้ที่กำลังป่วยโรคนี้อยู่ ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบบีและซี การติดต่อเหมือนเอชไอวี คือ ติดทางเลือด และเซ็กซ์

อาหารชนิดใด มักมีการปนเปื้อนไวรัสตับอักเสบเอ? นพ.สุขประเสริฐ เล่าว่า เป็นอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะหอยดิบ หอยมีกาบ เมื่อเชื้อโรคชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวราว 2-4 สัปดาห์ อาการป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มจากมีไข้ ปวดเมื่อยตัว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ต่อมาพอไข้ลด จะเริ่มปรากฏอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมักจะทำให้คนไข้เริ่มกังวลและมาพบแพทย์

ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้มีคนไข้รายหนึ่ง มาด้วยอาการไข้ อ่อนเพลีย จุกท้อง ตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม ผลตรวจพบ ค่าการทำงานของตับผิดปกติ ส่วนผลเลือดพบ มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอเฉียบพลัน เมื่อสอบถามประวัติ คนไข้เล่าว่า สัปดาห์ก่อนที่จะมีอาการ ได้ไปทานหอยแครงลวกมา


สำหรับการตรวจรักษา แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของตับ ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ค่าการทำงานหรือค่าเอ็นไซม์ตับจะพุ่งสูงเป็นพันๆ ทั้งที่ค่าตามปกติจะอยู่ระหว่าง 20-30 เท่านั้น นอกจากนี้จะต้องตรวจแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันชนิดเฉียบพลันในเลือดต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ หากอาการของผู้ป่วยกับผลตรวจเพิ่มเติมสรุปได้ว่า ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบเอ แพทย์จะให้รักษาตามอาการ เนื่องจากโรคนี้ไม่มียารักษาเฉพาะเจาะจง เน้นการพักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ห้ามกินยาสมุนไพรและอาหารเสริม เพราะอาจทำให้ตับอักเสบมากขึ้นได้

เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบเอที่ควรรู้ นพ.สุขประเสริฐ เล่าว่า ผู้ใหญ่มักจะมีอาการแสดงที่รุนแรงกว่าเด็ก เนื่องจากภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่แข็งแรง ร่างกายจึงมีปฏิกิริยาไม่รุนแรงในการต่อสู้กับเชื้อโรค ต่างจากผู้ใหญ่ที่ภูมิคุ้มกันแข็งแรงกว่า ปฏิกิริยาจึงรุนแรงกว่า

อย่างไรก็ตาม การป่วยด้วยโรคไวรัสตับอักเสบเอ มีโอกาสเสียชีวิตได้น้อยมาก เว้นแต่ผู้ป่วยรายนั้นมีปัญหาโรคตับอยู่เดิมเช่น ตับแข็ง หรือผู้สูงอายุ ส่วนใครที่เคยป่วยแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคไว้ จึงไม่ป่วยซ้ำอีก และไม่ทำให้เป็นโรคตับแข็ง หรือตับอักเสบเรื้อรัง กรณีที่ไม่ต้องการข้องแวะกับโรคนี้ สามารถฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไว้ได้ โดยวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ มีด้วยกัน 2 เข็ม ต้องฉีดห่างกัน 6 เดือน

ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบเอแล้ว หากใครไม่รู้ว่า ร่างกายของตนเองมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้วหรือไม่ สามารถไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันได้ ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน การฉีดวัคซีนป้องกัน เป็นการป้องกันการติดเชื้อที่มีประสิทธิภาพดี คำแนะนำทั่วไปในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอคือ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”.

รอยช้ำโผล่ไม่รู้สาเหตุ ระวังมะเร็ง !

รอยช้ำเป็นจ้ำที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนผิวหนัง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถูกกระแทกหรือบีบรัด หากถูกพบหลังจากตื่นนอน ความเชื่อเรื่องผีอำก็จะถูกยกมาเป็นสาเหตุของรอยช้ำปริศนา ทว่าระหว่าง 'ผี' กับ 'มะเร็ง' กลัวอะไรมากกว่ากันล่ะ ?

วันนี้มีคำอธิบายรอยช้ำที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุบนผิวหนัง และคงไม่ใช่เพราะผีอำ แต่เป็นสัญญาเตือนภัยสุขภาพว่า อาจเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาก็มีโอกาสเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่รอยช้ำไม่รู้ที่มาเท่านั้นที่จะสรุปว่า เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ยังต้องมีอาการอื่น ๆ ปรากฏร่วมด้วย อาทิเช่น อ่อนเพลีย มีไข้อ่อนๆ หลายวันก็ยังไม่ลดไม่หาย เลือดออกตาม

ไรฟัน ส่วนรอยช้ำที่เกิดขึ้นนั้นก็ยิ่งขยายใหญ่กว่าเดิมอีกเท่าตัว

สำหรับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคิเมีย มีทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง โดยชนิดเฉียบพลันจะพบได้บ่อยกว่า โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ซึ่งมีเม็ดเลือดอยู่ 3 ชนิด คือ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด

โรคนี้ถ้าเป็นแล้วจะส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมีการแบ่งตัวเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติ แต่กลับไม่สามารถเจริญเป็นเซลล์ที่แข็งแรง เหตุนี้เองทำให้ช่วงที่เม็ดเลือดขาวมีการแบ่งตัวมากกว่าปกติจะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน อันตรายต่อสมอง หัวใจ และปอด

แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงที่เม็ดเลือดขาวลดจำนวนลงเพราะความไม่สมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาว เมื่อนั้นร่างกายจะขาดตัวทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย อันเป็นหน้าที่หลักของเม็ดเลือดขาว ส่งผลให้คนๆ นั้นมีภูมิต้านทานน้อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ มีอาการไข้ และรู้สึกอ่อนเพลีย ขณะที่รอยช้ำเป็นจ้ำๆ ที่ขยายใหญ่ขึ้นนั้น เกิดจากการที่เส้นเลือดปริแตกจึงมีเลือดออกอยู่ใต้ผิวหนังและไม่ยอมหยุด

สำหรับสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวไม่อาจสรุปสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่ทางการแพทย์สันนิษฐานว่า เกิดจากภาวะผิดปกติของพันธุกรรม และคนที่เป็นโรคทางพันธุกรรมบางอย่างมีโอกาสเป็นได้มากกว่าคนอื่นๆ ส่วนการรักษา หลังจากแพทย์เจาะตรวจนับเม็ดเลือด เพื่อสำรวจความผิดปกติของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดแล้ว จะให้ผู้ป่วยรับประทานยา บางรายอาจต้องใช้เคมีบำบัดร่วมด้วย

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว คือ ระวังอย่าให้มีบาดแผล ระวังการชนหรือกระแทก เพราะเลือดจะออกได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังต้องระวังการติดเชื้อเมื่อเป็นแผลด้วย.

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อึ...ให้ดี ไม่มีตกค้าง

คุณทราบหรือไม่ว่าภัยสุขภาพใกล้ตัวอย่าง ‘อุจจาระตกค้าง’ นั้นมีอันตรายมากน้อยเพียงใด? 

‘อุจจาระตกค้าง’ เกิดจากการที่คนเราเคี้ยวอาหาร ไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ระบบดูดซึมเสีย ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 น. เช้า หรือ หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบ ให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด อุจจาระที่ค้าง ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอม
ีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่นไปเรื่อยๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะและกดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ

อุจจาระตกค้าง หรือ อึค้างเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทุกคน เราอาจตรวจสัญญาณ อึค้างในลำไส้ใหญ่ได้เองง่ายๆ โดยการนอนหงายแล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่างเลยสะดือไปทางซ้ายหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกเต็มที่เลื่อนไปมา ถ้ามีอึค้างอยู่จะคลำได้เป็นลำคล้ายแท่งยาว ๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ของ ลำไส้ โดยลำไส้ใหญ่นี้จะยิ่งคลำได้ชัดในคนที่ผอม 

สำหรับคนเจ้าเนื้ออาจต้องใช้เทคนิคนอนแล้วแขม่วพุงช่วยแล้วค่อยคลำจะชัดขึ้น ที่จริงเรื่องการอึที่ดูเหมือนเป็นกิจวัตรธรรมดาไม่มีอะไรนั้น มันต้องมีการฝึกเข้าส้วมกันบ้างให้ติดเป็นนิสัย

กลุ่มคนที่มักมีปัญหาเรื่องอึค้าง ได้แก่

1. เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่าลูบหลัง หรือไม่พาขยับตัวกลิ้งไปมาสักนิดหน่อยให้ไส้ได้บีบตัวบ้าง และในเด็กที่อึแข็งมาก อึนี่อาจแข็งถึงกับบาดรูก้นได้เป็นแผล แล้วครั้งต่อไปเด็กจะไม่อยากอึออกมาเพราะกลัวเจ็บ แผลแยก เลยยิ่งกลั้น พอยิ่งกลั้นอึก็ยิ่งแข็งค้างไปเรื่อย

2. คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืดไปรัดลำไส้ข้างในนุงนังทำให้บีบตัวไม่ดีอาจมีอึค้างอยู่ตามซอกโน้นซอกนี้ในลำไส้ จนบางท่านกลายเป็นลำไส้อุดตันไปได้ก็มี

3. ผู้สูงอายุและคนไข้นอนโรงพยาบาล ที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิ

4. คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแถมกลั้นอึบ่อย โดยเฉพาะท่านที่ทำงานออฟฟิศต้องนั่งแปะอยู่กับที่นาน หรืองานเข้าบ่อยต้องขอผลัดเข้าห้องน้ำไปเรื่อยๆก็ไม่ดี

5. ท่านที่มีลำไส้ยาว คือยิ่งยาวก็ยิ่งเป็นไซโลเก็บอึไว้ได้นานขึ้น บางท่านจะสังเกตว่าผักก็กินเยอะ แต่อึแค่สัปดาห์ละหนเท่านั้

สำหรับเทคนิค “อึให้ดี ไม่มีตกค้าง” มีดังนี้

1. อย่าอั้นอึตอนเช้า เพราะถ้าเลยเช้าไปแล้ว กว่าร่างกายจะส่งสัญญาณให้ปวดอีกอาจจะนานจนผิดเวลา

2. อึให้ตรงกับเวลาเดิม เหมือนเป็นการช่วย “โปรแกรมลำไส้” ให้คอยบีบไล่อึออกมาสม่ำเสมอก็จะไม่ค้าง

3. รอจังหวะขณะอึ ถ้าขณะนั่งห้องน้ำถ่ายหนัก อยู่ ถ้าไม่ปวดอย่าเบ่งค่ะให้ลองจับสังเกตว่ามันจะ“ปวดเป็นช่วงๆ” แล้วก็คลายไปแล้วประเดี๋ยวก็ปวดบีบขึ้นมาอีก นั่นเป็นเพราะลำไส้คนบีบตัวเป็น ลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย ถ้ามันเลื้อยมาถึงตรงอึพอดีมันจึงปวดขึ้นมา ถ้าเบ่งตอนไม่ปวดจะเหมือนเป็นการ “แกล้งลำไส้” ให้เกิดแรงดันขึ้นมาโดยใช่เหตุเกิดโป่งพองขึ้นมาได้ “ริดสีดวงทวาร” เป็นของแถม

4. นวดลำไส้ ถ้าในเด็กให้นวดรอบสะดือ ในผู้ใหญ่ให้นวดตรงท้องด้านล่างซ้ายเลยสะดือไป นวดเบาๆ ไปมาแล้วทิ้งไว้สักพักจะรู้สึกปวดถ่ายขึ้นมา

5. เอามือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะถ่าย หรือจะลุกขึ้นนั่งยองเอาหน้าขาเป็นตัวกดไล่อึออกมา เพราะที่จริงแล้วการอึที่ดีตามธรรมชาติของคนคือ“นั่งยอง” เพราะจะได้มีแรงกดจากหน้าขาด้วย การที่ฝรั่งเอาส้วมแบบนั่งมาให้เราใช้เป็นการผิดธรรมชาติมนุษย์ที่จะไม่มีแรงเบ่งอึมากในท่านั่งห้อยขา ทำให้คนเอเชียกลายเป็นทั้งริดสีดวงและท้องผูกมากเหมือนฝรั่งด้วย

6. ลุกขึ้นเดินไปมา จะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักไส้จะบีบรีดเอา “อึท้ายขบวน” ที่เหลือออกมาแล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที

** ไม่ว่าใครก็ตามถ้าความถี่ในการอึน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า “ท้องผูก”

นอกจากออกกำลังกายแล้วอาจใช้อาหารล้างลำไส้ช่วยได้ คือ 

1. น้ำมะขามเปียก
2. ลูกพรุนแห้งรับประทานทั้งผล เพราะจะได้กากด้วย ไม่ต้องแยกกินแต่น้ำ ยกเว้นถ้าเป็นเด็ก
3. แอปเปิ้ลเขียว กินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้
4. ถั่วดำ จัดเป็นอาหารล้างพิษได้ด้วย
5. สับปะรดและมะละกอที่มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่าๆ ที่ถูกย่อยไม่หมดและจะมีสภาพติด เป็นอุจจาระยางเหนียวสีดำคล้ายกับ “จาระบี”
6. ให้เลี่ยงการดื่มน้ำเย็นในตอนเช้า โดยให้ดื่มน้ำปกติหรือน้ำอุ่นตอนเช้าขณะตื่นมาท้องว่างจะช่วยให้ลำไส้บีบรัดตัวได้

นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

พยาธิ ... เรื่องใหญ่ที่ทุกคนมองข้าม ใน100 คนป่วยเป็นพยาธิมากกว่า 80 คนโดยไม่รู้ตัว

ไข่พยาธิสามารถอยู่ได้ในอากาศ การสูดลมหายใจ 1 ครั้ง สามารถพาไข่พยาธิเข้าไปได้ไม่ต่ำกว่า 100 ฟอง
พยาธิทนความร้อนได้มากกว่า 200 องศาเซลเซียส !

พยาธิตัวแก่จะอา
ศัยอยู่ในลำไส้เล็ก และคอยแย่งอาหารที่ย่อยแล้วในลำไส้กิน มีอายุเฉลี่ยอยู่ประมาณ 6 เดีอน - 1 ปี
แยกเพศออกเป็นชนิดตัวผู้ และ ชนิดตัวเมียตัวเมียจะออกไข่ประมาณ วันละสองแสนฟอง

ไข่จะออกมาพร้อมกับอุจจาระถ้าตกลงไปบนพื้นดินที่มีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ประมาณ 25 องศาเซลเซียส  เซลในไข่จะแบ่งตัวเจริญเป็นตัวอ่อนได้ภายใน 10 - 21 วัน

คนกินอาหารที่ปนเปื้อน หรือสูดหายใจเอาไข่พวกนี้ เข้าไป ตัวอ่อนพยาธิจะฟักตัวออกมา  ไชทะลุลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด หรือ น้ำเหลืองผ่านตับเข้าสู่ หัวใจ ปอด หลอดลม คอหอย หลอดอาหาร แล้วกลับลงมาสู่ลำไส้เล็กมาเจริญเป็นตัวแก่ต่อไป

ทุกท่านควรกินยาถ่ายพยาธิทุก ๆ 3 เดือน สมัยนี้มียาถ่ายพยาธิที่ครอบคลุมพยาธิทุกชนิด และ ย่อยสลายออกมาเป็นอุจจาระไม่ใช่ออกมาเป็นตัว หาซื้อได้ตามร้านขายยาเป็นยาสามัญ ฯ ไม่อันตราย ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

วิธีลดเสี่ยง ก็คือ หากในบ้านมีสัตว์เลี้ยง ต้องให้สัตว์เลี้ยงถ่ายพยาธิเป็นประจำ และ คนในบ้าน ก็ควรถ่ายพยาธิเป็นประจำด้วย แต่หากในบ้านไม่มีสัตว์เลี้ยง แต่ข้างบ้าน หรือ แถวบ้านมีสัตว์เลี้ยง เราก็ควรถ่ายพยาธิเป็นประจำเช่นกัน


ลูกดูดนิ้ว แก้ได้อย่างไร?

ลูกดูดนิ้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเพราะเป็นพฤติกรรมปกติที่พบได้ในเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 2 ขวบ

สาเหตุที่ลูกดูดนิ้วอาจเป็นเพราะรู้สึกเพลินหรือเหงาหรือไม่มีใครเล่นด้วยเลยดูดนิ้วเล่นหรือแทนขวดนมเมื่อถูกห้ามหรือขัดใจไม่ให้ดูดขวดนม หรืออาจเพราะเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ เพราะดูดนิ้วแล้วพ่อแม่จะเข้ามาสนใจหรือห้ามจึงใช้พฤติกรรมนี้เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่

ถ้าหากพ่อแม่กังวล สนใจมาก คอยดึงมือหรือตีเมื่อลูกเอามือเข้าปาก จะยิ่งทำให้เด็กกังวล หงุดหงิด โกรธ และกระตุ้นให้ดูดนิ้วมากขึ้น เพื่อทำให้เกิดความเพลิดเพลินและมักแอบทำไม่ให้เห็น

วิธีแก้ไขอาการดูดนิ้วของลูกคือ

1) พ่อแม่ต้องลดความวิตกกังวลเกินเหตุลงและทำความเข้าใจว่าการดูดนิ้วไม่ได้ อันตรายหรือผิดปกติร้ายแรง เป็นนิสัยซึ่งต้องการเวลาในการเลิก ห้ามดุ ด่า ว่าลูก ไม่คอยดึงหรือตีมือเมื่อลูกเอามือเข้าปาก ไม่ใช้วิธีเอาบอระเพ็ด ยาขม ยาหม่องป้ายหรือพลาสเตอร์พันนิ้วมือลูก เพราะเป็นเหมือนการลงโทษและปิดกั้นลูกไม่ให้ระบายออก ซึ่งจะยิ่งทำให้ลูกเครียดมากและเลิกดูดนิ้วยากขึ้น 

2) หันมาสนใจตัวลูกให้มากขึ้น พูดคุย เล่านิทาน ร้องเพลงกล่อมก่อนนอนเพื่อให้ลูกหลับง่ายขึ้นโดยไม่ต้องดูดนิ้วเพื่อกล่อมตัวเอง ให้คำแนะนำและให้กำลังใจให้ลูกหยุดทำ พูดคุย เล่น และเบี่ยงเบนความสนใจของลูกให้ทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจแทน หรือให้เล่นของเล่นที่ต้องใช้มือเล่น เช่น ลูกบอล ฯลฯ 

3) ต้องเข้าใจว่าการแก้เรื่องลูกดูดนิ้วอาจใช้เวลา ซึ่งหากปฎิบัติตามข้อ1และ 2 แล้ว นานไปลูกจะลืมและเลิกดูดนิ้วไปได้เอง 

4) หากถ้าพยายามเต็มที่แล้วยังไม่ได้ผล คงต้องทำใจลูกโตขึ้นไปโรงเรียน อายเพื่อน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนและน่าสนใจกว่า อาการลูกดูดนิ้วก็จะหายไปเองค่ะ

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พิษร้ายของสเตียรอยด์

สเตียรอยด์ในร่างกาย 

การที่ร่างกายสามารถรับสเตียรอยด์ได้เนื่องจากร่างกายเองก็มีการสร้างสเตียรอยด์ออกมาก เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยมีการควบคุมมาจากสมองมายังต่อมหมวกไต เพื่อหลั่งสารสเตียรอยด์ออกมา ซึ
่งร่างกายจะนำไปใช้ในการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอด 

พิษร้ายของสเตียรอยด์ 

แม้ว่าในทางการแพทย์สเตียรอยด์จะมีข้อบ่งชี้ทางการรักษามากมาย แต่ไม่ควรซื้อยานี้ใช้เองโดยไม่มีแพทย์คอยดูแลการใช้ยา เนื่องจากผลข้างเคียงของสเตียรอยด์นั้นมีมากมายเช่นกัน ได้แก่ 

• เลือดออกในกระเพาะอาหาร เนื่องจากสเตียรอยด์ไปทำให้ผนังกระเพาะอาหารและลำไส้บางลง และเสียความสามารถในการป้องกันกรดในทางเดินอาหารที่หลั่งมาเพื่อย่อยอาหาร ดังนั้นหากได้สเตียรอยด์ไปนานๆ ผนังทางเดินอาหารก็จะบางตัวลงจนถึงขั้นทะลุ และเกิดแผลเลือดออกได้ หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีก็เสียชีวิตได้ 

• กระดูกบาง การใช้สเตียรอยด์จะไปกระตุ้นเซลล์ในกระดูกชนิดหนึ่งร่วมกับกระตุ้นระบบฮอร์โมน ทำให้กระดูกถูกละลายบางลง ซึ่งในคนสูงอายุก็จะลงท้ายด้วยกระดูกพรุนและเกิดกระดูกหักได้ง่าย

• ร่างกายหยุดสร้างสเตียรอยด์ เพราะได้สเตียรอยด์จากภายนอกไปมากพอแล้ว และหากวันใดไม่ได้รับสเตียรอยด์จากภายนอกเข้าไป แล้วเจอเรื่องเครียด (เจ็บป่วย อดอาหาร เครียด) ร่างกายก็จะขาดสเตียรอยด์อย่างฉับพลัน และไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อาจทำให้ความดันโลหิตตกลง หมดสติ และเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว 

• กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย บดบังอาการติดเชื้อต่างๆ เมื่อร่างกายติดเชื้อก็จะไม่มีอาการเจ็บไข้ให้เห็น ทำให้ดูเหมือนสบายดี และเนื่องจากสเตียรอยด์กดภูมิคุ้มกันของร่างกายเอาไว้ ดังนั้นกว่าจะรู้สึกอีกที เชื้อโรคก็เจริญเติบโตเริงร่าไปทั่วร่างกายแล้ว ซึ่งทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

• ยับยั้งการเติบโตในเด็ก ทำให้เด็กโตช้าและหยุดสูงเร็วกว่าปกติ อันนี้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่เลี้ยงไมโต 
• น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงในผู้ป่วยเบาหวาน หรือทำให้ระดับน้ำตาลควบคุมได้ยาก หากน้ำตาลอยู่ในระดับสูงมากอาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้ 

โดยปกติ ยาสเตียรอยด์ถูกจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ไม่สามารถขายแม้ในร้านขายยาได้หากไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ และโดยทั่วไปก็ไม่มีแพทย์คนไหนสั่งสเตียรอยด์ให้คนไข้สุ่มสี่สุ่มห้า เพราะว่าในที่สุด ผลสุดท้ายที่ออกมาก็คือการรักษาจะไม่ดีขึ้นในระยะยาว กล้าพูดได้ว่าสเตียรอยด์ที่คนไทยใช้กันผิดๆ อย่างต่อเนื่องที่ได้รับโดยตรงจากเภสัชกรหรือแพทย์นับว่ามีน้อยมาก แต่เมื่อพบผู้ที่ใช้สเตียรอยด์มาต่อเนื่องยาวนาน กลับพบว่าส่วนใหญ่มักมีความเชื่อว่าเภสัชกรหรือแพทย์นั่นแหละที่แอบจ่ายยาสเตียรอยด์ให้เขาโดยไม่บอก ไม่รู้ว่าตนเองไปโดนมาจากไหน หรือแม้แต่ไม่เชื่อว่าของที่กินอยู่นั่นแหละที่ผสมสเตียรอยด์ 

แหล่งสเตียรอยด์ที่สำคัญของคนไทย 

แหล่งสเตียรอยด์ที่สำคัญของคนไทย คือ ยาสมุนไพร ยาแผนโบราณ ยาลูกกลอน ยาพระ ยาต้ม ยาหม้อ ยาชุด ยาลูกกลอน
ยาสมุนไพร ยาต้ม ยาหม้อ 

ในที่นี้มิได้มีเจตนาดูถูกภูมิปัญญาชาวบ้านนะ เพราะที่ดีก็มีอยู่จำนวนมาก แต่เนื่องจากปัจจุบันผู้ค้าบางรายชอบหยิบเอาประเด็นสมุนไพร และภูมิปัญญาชาวบ้านมาแอบอ้างใช้เป็นเกราะป้องกันตัว เวลาทำการโฆษณาขายยาตามหมู่บ้าน โดยอวดอ้างว่าแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีความรู้ และดูถูกยาเหล่านี้เพราะเป็นยาพื้นบ้านของไทย การขายยากลุ่มนี้ ถ้าแบบไม่ลงทุนก็ขายเป็นยาลูกกลอน ถ้าลงทุนนิดนึงก็ขายเป็นยาหม้อหรือยาสมุนไพร 

ยาลูกกลอนของเขาก็เอาพืชผักอะไรก็ไม่รู้ บางทีก็เป็นสมุนไพรจริงนำมาตากบดเป็นผงละเอียด มาปนกับผงยาสเตียรอยด์ จากนั้นผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลมๆ เป็นอันเสร็จพิธี ข้อเสียของการขายแบบนี้คือ ประชาชนหลายคนถูกปลูกฝังตั้งแต่ยุคสิบกว่าปีก่อนที่มีการรณรงค์เรื่องยาชุดว่า มีกลวิธีผสมสเตียรอยด์แบบนี้ในยาลูกกลอน ดังนั้นจะมีลูกค้าบางส่วนไม่ซื้อ ผู้ค้าที่ฉลาดบางรายจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เป็นการนำสมุนไพร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือกิ่งไม้ข้างทาง เถาไม้เลื้อยบางชนิด ใบไม้แห้งต่างๆ มารวมกัน เอาไปผ่านกรรมวิธีอาบน้ำยาสเตียรอยด์ ก่อนจะนำไปตากแห้งแล้วแต่งสีให้ดูปกติ แล้วเอามารวมเป็นชุดๆ ขายให้คนที่หลงเชื่อซื้อเอาไปต้ม พอต้มแล้วเอาน้ำมาดื่ม ซึ่งมีค่าเท่ากับดื่มยาสเตียรอยด์เข้าไปนั่นเอง 

ยาพระ 



สเตียรอยด์อาจมาในอีกรูปแบบโดยอ้างว่าเป็น ยาพระ โดยมีทั้งพระจริง และพระปลอม พระปลอมก็อย่างเช่น การอ้างเกจิอาจารย์ดังๆ ในอดีต หรืออุปโลกน์พระที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาแล้วอ้างตำราของท่านเหล่านั้น ถ้าให้น่าเชื่อถือก็อ้างส่วนผสมแล้วใช้คำไทยๆ เช่น เกสรทั้ง 5 รากทั้ง 6 ลำต้นทั้ง 7 อะไรทำนองนี้ เอามาแปะไว้หน้าห่อ พระจริง มีทั้งแบบที่พระทำเอง หรือแบบที่คนทำเอามาฝากขายตามวัด หรือคนทำเอาไปหลอกพระที่วัดเพื่อเอาพระเหล่านั้น มาเป็นสโลแกนว่าเป็นยาโบราณ พวกนี้ผิดกฎหมายแถมยังบาปอีกต่างหาก 

ยาชุด 

ยาชุดในที่นี้ขอให้แยกจากยาชุดที่แพทย์หรือเภสัชกรซึ่งมีการระบุชื่อยาไว้อย่างชัดเจน ให้นึกถึงยาหลากหลายสีในถุงยาใสเล็กๆ วิธีกินคือ กินทีละซอง พวกนี้ชอบขายตามร้านของชำ ปั๊มเล็กๆ หรือร้านยาที่ไม่มีเภสัชกรประจำร้าน โดยจะมีตัวแทนจำหน่ายนำมาส่งต่อให้ร้านเหล่านี้อีกที โดยอ้างสรรพคุณครอบจักรวาล ทั้งแก้ปวดเมื่อย กษัยเส้น ช่วยเจริญอาหาร ที่ร้ายก็คือ คนพวกนี้ชอบอ้างสรรพคุณว่าเป็นยาบำรุง ไม่ใช่ยาชุดและบางครั้งยังใส่ความเชื่อผิดๆ ว่ายาชุดที่กระทรวงสาธารณสุขปราบปรามคือ เป็นยาที่แพทย์และเภสัชกรสั่งให้ในคลินิก โรงพยาบาล หรือร้านขายยา แล้วแอบผสมสเตียรอยด์ลงไป 

สรุปว่าไม่ว่าจะเป็นยาอะไรจากใครก็ตาม หากคุณเห็นว่าใส่รวมๆ กันไม่มีชื่อยาก็ขอให้ถาม ชื่อยา จากคนที่เอายาให้ อย่าเกรงใจกลัวเขาจะว่า เพราะนั่นเป็นสิทธิผู้ป่วยที่คุณสมควรรับทราบ แต่ถ้าถามชื่อยาแล้วกลับบอกแค่ว่าเป็นยารักษาอาการอะไร ประมาณว่า ยา ชื่อ อาการ เช่น ยาลดปวด ยาลดบวมข้อ ยาเส้น ยาแก้ไอ เป็นต้น ก็ให้คิดเผื่อใจไว้เลยว่าคุณอาจจะเจอยาชุดของจริงเข้าให้แล้ว 

ยานี้มี อย. 

การนำเสนอแบบนี้นับเป็นรูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับการนิยม โดยมีทั้งบอกปากเปล่าหน้าตาเฉยว่า ยาของเราไม่ผสมสเตียรอยด์ และได้รับการับรองจาก อย. แล้ว หรือแบบที่ร้ายกว่านั้นทำตรา อย. ปลอมเองก็มี ซึ่งก็เป็นกลวิธีหนึ่งที่ทำให้ลูกค้า (ผู้ป่วย) มาเถียงกับแพทย์ว่าไม่ได้กินสเตียรอยด์หรอกเพราะมี อย. แต่พอนำไปทดสอบกลับตรวจพบสารสเตียรอยด์ 

ยาสเตียรอยด์มีประโยชน์ในทางการแพทย์มากมาย แต่ผลข้างเคียง (พิษ) ของยานั้นก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นไม่ควรซื้อยามารับประทานเองอย่างเด็ดขาด การใช้ยาสเตียรอยด์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังสเตียรอยด์ที่อาจแฝงมาในรูปของยาสมุนไพร ยาต้ม ยาหม้อ ยาลูกกลอน ยาพระ อาหารเสริมสุขภาพ รวมถึงยาบำรุงกำลังต่างๆ ซึ่งกรณีที่ท่านมีความต้องการที่จะรับประทานยาเหล่านี้จริงๆ ท่านควรนำไปทดสอบหาสารสเตียรอยด์ที่หน่วยงานของรัฐที่รับทดสอบ ซึ่งได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์สุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆ เสียก่อน 

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ระวัง ! ลำไส้รั่ว เพราะกินซ้ำซาก

“You are what you absorb” เพราะทุกสิ่งที่เรากินเข้าไป 
ล้วนต้องผ่านการย่อยและดูดซึมขั้นสุดท้ายที่ลำไส้เล็ก กล้ามเนื้อยืดหยุ่นขนาดประมาณ 6 เมตรนี้จึงเป็นเหมือนปราการคัดกรองสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบในปัจจุบัน ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ละเลยความสำคัญของอาหารการกิน คนวัยทำงานจำนวนไม่น้อยที่มีพฤติกรรมกินอาหารซ้ำซาก เมื่อนึกอะไรไม่ออกก็สั่งแต่เมนูซ้ำ ๆ กินประทังชีวิต เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อลำไส้ จนกลายเป็น “ภาวะลำไส้รั่ว”

โจรพันหน้าที่ชื่อว่า “ลำไส้รั่ว”

ลำไส้รั่ว หรือ Leaky Gut Syndrome เปรียบเหมือนโจรพันหน้าที่ผันตัวให้เกิดความผิดปกติในร่างกายได้หลายประการ เพราะเมื่อลำไส้รั่ว สารอาหารที่ยังย่อยไม่เสร็จและมีขนาดใหญ่จะหลุดเข้าสู่ร่างกาย กลายเป็นสิ่งแปลกปลอม ร่างกายจึงต้องเร่งสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาเพื่อรับมือ หรือหากมีเชื้อโรคจากลำไส้หลุดเข้าไปติดเชื้อในกระแสเลือดด้วย อาจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ตั้งแต่สิวที่รักษาไม่หาย ผื่นผิวหนังไม่ทราบสาเหตุหรือภูมิเพี้ยน ภูมิแพ้ แพ้อาหาร อ่อนเพลียเรื้อรัง หอบหืด ลำไส้แปรปรวน (IBS) ลำไส้อักเสบโครห์น (Crohn’s disease) ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปลอกประสาทอักเสบ (multiple sclerosis) ต่อมหมวกไตบกพร่อง แพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง (SLE) หรือไทรอยด์อักเสบ เป็นต้น

หตุใดลำไส้จึงรั่ว
หากจะมีสิ่งใดทำให้ลำไส้รั่วได้ คงหนีไม่พ้นเป็นสิ่งที่สัมผัสกับลำไส้อยู่เป็นประจำ นั่นก็คือ อาหารและยา ทั้งยังมีข้อมูลอีกว่าความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเหมือนกัน
โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลขัดขาว จะไปกระตุ้นให้เกิดยีสต์ในร่างกายมากกว่าปกติ กลายเป็นแหล่งชุมนุมยีสต์คอยก่อกวนผนังลำไส้จนรั่วได้ในที่สุด

อีกหนึ่งสาเหตุที่มองข้ามไม่ได้อย่างที่กล่าวไปแล้วคือ พฤติกรรมการบริโภคของหนุ่มสาวคนเมือง เคยเป็นไหมที่นึกไม่ออกว่าแต่ละมื้อจะกินอะไร ไม่ว่าไปกินที่ไหนก็สั่งแต่เมนูเดิมซ้ำ ๆ เช่นตลอดทั้งสัปดาห์เมนูคือกะเพราไก่ รับรองว่าลำไส้รั่วถามหาแน่ เพราะร่างกายจะได้สารอาหารเดิมซ้ำซาก จนลำไส้ไม่ชินกับความหลากหลาย สารเคมีตกค้างในอาหารจานนั้นจะเข้าไปสะสมในลำไส้ตลอดเวลา เมื่อถึงจุดหนึ่งจึงออกฤทธิ์ทำร้ายจนไส้รั่วได้เช่นกัน 

ส่วนยาที่ทำร้ายลำไส้คงหนีไม่พ้นจำพวก ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด และยาปฏิชีวนะทั้งหลาย ซึ่งออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียโดยไม่เลือกว่าเป็นเชื้อดีหรือเชื้อร้าย จนไม่มีแบคทีเรียตัวดีคอยรักษาสมดุล ลำไส้จึงอ่อนแอและทำงานผิดปกติได้
สาเหตุหลักอีกอย่างคือความเครียด จะเรียกว่า “สมองสั่งไส้” ก็ไม่ผิดนัก เพราะเมื่อเราเครียดสมองจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายทางรวมทั้งการบีบตัวของลำไส้ด้วย อย่างที่เคยได้ยินกันว่าเครียดลงกระเพาะหรือเครียดลงลำไส้นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุย่อยอื่น ๆ เช่น โรคตับ เนื่องจากตับมีหน้าขับสารพิษ เมื่อตับทำงานผิดปกติสารพิษจึงถูกส่งต่อสู่ลำไส้ และโรคเบาหวาน ที่ทำให้ลำไส้ผู้ป่วยบีบตัวช้าหรืออาการลำไส้ขี้เกียจ จึงมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารย่อยช้า โอกาสที่ลำไส้จะสัมผัสกับอาหารที่หมักหมมก็นานขึ้น ความเสี่ยงติดเชื้อจนไส้รั่วจึงมากตามไปด้วย

ลำไส้รั่วตรงไหน


รู้จักสาเหตุของภาวะลำไส้รั่วไปแล้ว หลายคนอาจงงว่าไส้รั่วนี้รั่วตรงไหน เป็นแผลใหญ่เหมือนกระเพาะทะลุหรือเปล่า มาคลายสงสัยไปพร้อมกันเลย

หากลองจินตนาการถึงอวัยวะในช่องท้อง ท่อกล้ามเนื้อยืดหยุ่นที่ขดวนไปมาคือ ลำไส้เล็ก ประกอบไปด้วยชั้นกล้ามเนื้อ 4 ชั้น ชั้นในสุดที่สัมผัสกับอาหารจะมีลักษณะเป็นลอนคลื่น และบนผิวลอนคลื่นทั่วทั้งลำไส้เล็กนี้จะมี วิลไล (Villi) หรือเนื้อเยื่อส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายขนแปรงอีกราว 3 ล้านเส้น แต่ละเส้นจะมีเซลล์ดูดซึมสารอาหาร 5,000 เซลล์ และบนวิลไลแต่ละเส้นยังปกคลุมไปด้วยขนแปรงจิ๋วไมโครวิลไล (Microvilli) เพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซึมด้วย

และจุดรั่วที่แท้จริงก็คือบริเวณเซลล์ดูดซึมสารอาหารบนวิลไล ที่เกิดความผิดปกติหรือสูญเสียฟังก์ชันการทำงานจากสิ่งที่เรากินเข้าไป จนทำให้โมเลกุลสารอาหารหลุดรั่วเข้าไปได้ง่าย เป็นการรั่วกระจายทั่วลำไส้เล็ก ทั้งเยอะและเล็กจนบางครั้งแม้ส่องกล้องยังแทบมองไม่เห็นเลยล่ะ

สัญญาณเตือนลำไส้รั่ว

เพราะร่างกายมีระบบเตือนภัยในตัว ไม่ว่าจะมีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น หากสังเกตจะพบว่ามีสิ่งบอกเหตุทั้งสิ้น และ 3 อาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังเข้าสู่ภาวะลำไส้รั่วได้
1. ปวดท้อง ปวดบ่อย ๆ แบบไม่มีสาเหตุ 
2. ท้องอืด ท้องเฟ้อ กินอะไรเข้าไปก็ไม่ย่อยหรือย่อยช้า เกิดลมในท้อง อึดอัด ไม่สบายตัว
3. ท้องเสีย ไม่ว่าจะกินอะไรก็ถ่ายท้องง่ายกว่าปกติ ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำตลอดเวลา

อาการเบื้องต้นที่ดูไม่น่ามีอันตรายนี่แหละ ที่บอกว่าคุณอาจตกอยู่ในภาวะลำไส้รั่ว เมื่อใดที่พบเจออาการเหล่านี้บ่อยเข้าจนรบกวนชีวิตประจำวัน ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ได้แล้ว

ทำอย่างไรเมื่อลำไส้รั่ว

น่าปวดหัวที่ลำไส้รั่ววินิจฉัยตรงตัวได้ยาก หากสงสัยว่าตนเองมีภาวะลำไส้รั่วควรปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์อาจให้กลืนแป้งหรือน้ำตาลโมเลกุลใหญ่เพื่อตรวจดูสิ่งตกค้างในปัสสาวะ ถ้าพบว่าน้ำตาลในปัสสาวะนั้นไม่ผ่านการย่อยเลย แสดงว่าไส้รั่วชัวร์แล้ว หรือถ้ามีอาการของโรคต่าง ๆ ข้างต้นร่วมด้วย แพทย์อาจต้องรักษาตามอาการ พร้อมกันนั้นตัวเราต้องเป็นหมอรักษาตนเองควบคู่ไปด้วย โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อฟื้นฟูลำไส้

สาเหตุของลำไส้รั่วอยู่ที่ อาหาร ยา และความเครียด ทางออกที่ดีที่สุดก็ต้องแก้ด้วยการปรับเปลี่ยนอาหาร ลดการใช้ยา และปรับสภาพจิตใจ

ปรับอาหาร ด้วยการงดกินแป้งและน้ำตาลขัดขาว แต่หันมากินข้าวไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีท หรือน้ำตาลทรายแดง กินอาหารให้หลากหลายขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงลำไส้ได้รับสารอาหารและสัมผัสสารเคมีชนิดเดียวนาน ๆ กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำให้มาก เพื่อช่วยการทำงานของทางเดินอาหารทั้งระบบ รวมทั้งงดเครื่องดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ที่จะไปกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานผิดปกติ และควรกินอาหารให้ตรงเวลา เคยกินมื้อไหนช่วงเวลาไหนก็พยายามทำให้ได้ตรงกันทุกวัน ไม่จำเป็นต้องกินมื้อเช้าตอน 7 โมง มื้อกลางวันตอนเที่ยงตรง หรือมื้อเย็นตอน 6 โมง เพราะนาฬิกาลำไส้ของแต่ละคนเดินไม่พร้อมกันอยู่แล้ว

ลดการใช้ยา การเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ บางครั้งอาจทำให้คุณได้ยาถุงเบ้อเร่อจากโรงพยาบาล หากป่วยไม่มากอย่างเป็นหวัด มีไข้อ่อน ๆ เมื่อยล้า พักผ่อนไม่เพียงพอ ควรลองปล่อยให้ร่างกายเยียวยาตัวเอง งดใช้ยา แต่หันมาพักผ่อนให้มากขึ้น ออกกำลังกายเบา ๆ ให้ร่างกายมีแรงสู้กับเชื้อโรค และบำรุงด้วยอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เท่านี้ก็เลิกกังวลกับการกินยาแล้ว

ปรับสภาพจิตใจ เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเอง บางคนมีความสุขได้กับกิจกรรมเบา ๆ ยามว่าง ส่วนบางคนอาจหันหน้าเข้าพึ่งพาความร่มเย็นของศาสนา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากมีวิธีใดจะสร้างความสุขให้ตัวเองได้นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำได้ด้วยตัวเอง คือ เข้านอนให้เร็วขึ้น เพราะการนอนเป็นวิธีการพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายได้ดีที่สุด เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เป็นดั่งน้ำพุแห่งความอ่อนเยาว์ออกมา 2 ชนิด คือ เอริโทรโพอีติน (Erythropoietin) และโกร๊ธฮอร์โมน ที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมทุกเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ลำไส้ มีรายงานว่าช่วงเวลาทองของการเข้านอนคือ 4 ทุ่มถึง 6 โมงเช้า หากเข้านอนระหว่างนี้ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากฮอร์โมนทั้งสองชนิดมากที่สุด

แหล่งอาหารรักษ์ลำไส้


อาหารที่เป็นมิตรกับลำไส้ ได้แก่ อาหารที่มีวิตามิน เอ วิตามินอี และสังกะสี ซึ่งสุดยอดมิตรแท้ของลำไส้ก็คือ “มะเขือเทศ” ที่นอกจากจะมีวิตามินหลายชนิดแล้ว ยังมีสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลัง อย่างไลโคปีน ที่ต้านการติดเชื้อเรื้อรังอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังมีน้ำตาลโมเลกุลขนาดกลาง (FOS) ทำหน้าที่เป็นสารอาหารพรีไบโอติกส์ ช่วยทำลายแบคทีเรียร้ายและเกื้อกูลแบคทีเรียดีในลำไส้อีกด้วย มะเขือเทศจะให้ประโยชน์มากที่สุดเมื่อผ่านความร้อน แม้วิตามินจะเสียไปบ้างแต่ไลโคปีนกลับเพิ่มมากขึ้น หากชอบกินมะเขือเทศแช่เย็น แนะนำให้วางทิ้งไว้สักครู่ เพราะความเย็นจะไปทำให้ไลโคปีนลดลง และอาหารชนิดอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนแท้ของลำไส้ ได้แก่ โยเกิร์ต บลูชีส บรีชีส น้ำผึ้ง แก้วมังกร กล้วยหอม หน่อไม้ฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม และข้าวสาลี เป็นต้น



จะเห็นได้ว่า Leaky Gut Syndrome หรือภาวะลำไส้รั่วที่แม้จะฟังดูร้ายเพราะนำไปสู่โรคอื่น ๆ ได้นั้น แท้จริงแล้วป้องกันและรักษาได้ด้วยตัวเราเอง ทั้งการกิน การพักผ่อน การงดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เมื่อใดที่เราตระหนักถึงการดูแลลำไส้ดีแล้ว ก็เลิกตระหนกและมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าปลอดภัยจากภาวะลำไส้รั่วและเหล่าโรคแอบแฝงแล้วล่ะ