รับประทานยาแต่ละชนิดต่อไปนี้ มีผลอย่างไรกับสุขภาพ?
โดยเฉพาะเด็กอยู่ช่วงเจริญเติบโตยังไม่เต็มที กระบวนการทำลายพิษยาและการขับถ่ายของเสียไม่สมบูรณ์ ร่างกายของเด็กจึงไวต่อพิษยา ดังนั้นการใช้ยาในเด็กจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะและยาแอสไพริน
@ ยาแอสไพริน (Aspirin) ไม่กี่ปีมานี้กระทรวงสาธารณสุขสั่งห้ามขายให้เด็ก เพราะมีอันตรายถึงชีวิต ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ อาจทำให้มีเลือดออกได้ การแพ้ยาแอสไพริน มักเกิดอาการจากสมองและตับบาดเจ็บ อักเสบเสียหาย หรือชื่อทางการแพทย์ คือ กลุ่มอาการราย (Reye′s syndrome) เป็นกลุ่มอาการมักเกิดในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จากการแพ้ยาแอสไพรินซึ่งกินเพื่อลดไข้ โดยเฉพาะหากเด็กเป็นไข้เลือดออกจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
@ ยาคลอแรมเฟนิคอล และเตตราซัยคลีน เป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้กว้างขวางหลายชนิดเป็นตัวยาที่มีอันตรายร้ายแรงและไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในเด็กเล็ก ยาคลอแรมเฟนิคอล อาจทำให้เกิดพิษต่อการสร้างเม็ดเลือด เช่น ลดการทำงานของไขกระดูกทำให้เกิดโรคโลหิตจาง อาจมีเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ำร่วมด้วย และอันตรายถึงชีวิต จึงห้ามใช้ในทารกอายุต่ำกว่า 4 เดือน ส่วนยาเตตราซัยคลีน อันตรายคือทำให้ฟันเป็นสีน้ำตาลถาวร ฟันหลุดร่วงเร็วกว่าปกติ และทำให้การเจริญเติบโตของกระดูกลดลง จึงไม่ควรใช้หรือห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หญิงมีครรภ์ และแม่ระหว่างให้นมลูก
ในวัยผู้ใหญ่ แม้ว่าจะดูสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่จากการทำงานหนักและการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาจมีการใช้ยาทั้งในกลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาระบาย ยาลดความอ้วน ซึ่งถือว่าอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธีและขนาดกับโรค และรา่งกาย เช่น
@ ยาปฏิชีวนะ เป็นหวัด เป็นไข้ เจ็บคอ นอกจากยาพาราเซตามอลแล้ว ยาปฏิชีวนะหรือในชื่อเรียกง่ายๆ ว่า "ยาแก้อักเสบ" (ทั้งๆ ที่ไม่ถูกต้อง) เป็นอีกหนึ่งยาที่คนไทยชอบกิน จริงๆ แล้วเราควรจะกินยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อมีอาการเจ็บป่วย ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อ และใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดชนิดหนึ่งรักษาได้ผลเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพอเป็นโรคติดเชื้อแล้วจะใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดๆ ก็ได้ เช่น ถ้าเป็นเชื้อไมโคพลาสมา ต้องใช้อีริโทรไมซิน ถ้าเป็นเชื้อไวรัส โดยทั่วไปก็ไม่มียาที่ใช้ได้ผล เป็นต้น อย่าใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น หากต้องใช้ให้ใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา
@ ยาพาราเซตามอล เป็นยาแก้ปวด และลดไข้ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด บางคนกินแก้หวัด-ป้องกันหวัด หรือแก้ปวดเมื่อย พาราเซตามอลมีข้อดีที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะ แต่แท้จริงแล้วมีผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด คือ การเกิดพิษต่อตับ หากใช้เกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานเกินไป ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และเกิดภาวะตับวาย ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิต หากไปรับการรักษาไม่ทันท่วงที
ส่วนวัยเกษียณ ปัจจุบันคนไทยกำลังเข้าสู่โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ ผู้สูงวัยจึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งบางคนจำเป็นต้องทานยาอย่างต่อเนื่องการใช้ยาในผู้สูงอายุ พบว่ามีความเสี่ยงหรือมีโอกาสที่จะได้รับอันตราย ได้มากกว่าบุคคลทั่วไป - 2 ยาอันตรายที่ต้องระวัง
๑) กลุ่มยาแก้ปวด
ลดไข้ เช่น ไดพัยโรน และหรือยาที่มีไดพัยโรนผสม อาจเกิดผื่นแพ้หรือผิวหนังอักเสบ และทำลายระบบเลือด เม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดแตก....
เฟนิลบิวตาโซน และออกซีเฟนิลบิวตาโซน อาจเกิดไขกระดูกฝ่อ เม็ดเลือดขาวต่ำ กระเพาะอาหารทะลุ อ่อนแรง ผื่นขึ้น ปากเป็นแผล บวม....
ยาแก้อักเสบ แก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) อาจทำให้เกิดโรคกระเพาะ ชีพจรเต้นเร็ว บางคนอาจมีชีพจรช้า ใจสั่น ความดันเลือดสูง หายใจลึกแรง....
ยาแก้ปวดกับยากล่อมประสาท หรือยาคลายกล้ามเนื้อหดเกร็ง ยาคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง อาจทำให้เกิดความดันในลูกตาสูง (อาจทำให้ตาบอดได้ถ้าเป็นโรคต้อหินอยู่ก่อนแล้ว) ถ่ายปัสสาวะลำบาก เกิดการคั่งของปัสสาวะ โดยเฉพาะผู้ที่มีต่อมลูกหมากโต ปากคอแห้ง ตื่นตกใจง่าย อ่อนเพลีย เป็นอันตรายถ้ากินร่วมกับสุรา
๒) ยาที่มีสารสเตอรอยด์
ผู้สูงอายุมักจะมีอาการปวดเมื่อย ปวดแข้ง ปวดขา เจ็บป่วย จึงพยายามหายาที่ลดอาการเหล่านี้มาใช้ แต่รู้หรือไม่ยาส่วนใหญ่ที่ช่วยลดอาการปวดจำนวนไม่น้อยมีสารสเตอรอยด์ผสมอยู่ เช่น ยารักษาโรคภูมิแพ้ ยารักษาโรคหอบหืดชนิดพ่นสูดทางปากได้แก่ เบโดรเมธาโซน และบูเดโซไนด์ ยาหยอดตา ยาป้ายตา ยารักษาโรคไตบางชนิด ยารักษาข้ออักเสบ และยาแก้แพ้
@ ยาลูกกลอนหมอเถี่อนที่มีสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย หากร่างกายได้รับสารนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดความผิดปกติ เช่น...ใบหน้าบวม อ้วนกลม ตัวบวมอ้วน ผิวหนังมีรอย แตก ภาวะความดันโลหิตตก ภูมิคุ้มกันลดลงทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย เกิดเบาหวาน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้อกระจก กระดูกพรุนและเป็นแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ก่อนใช้ยาชนิดใดจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
@ นอกจากนี้ยาที่อาจทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพ เช่น ไซเมทิดีน (Cimetidine) ดิจ๊อกซิน (Digoxin) ยาขับปัสสาวะพวกไธอะไซด์ (Thiazide diuretics) ยาลดความดันเลือด เช่น โพรพาโนลอล (Propranolol) ยาขยายหลอดลม เช่น ธีโอฟิลลีน (Theophylline) ยาสงบประสาทและยานอนหลับ เช่น ไดอะซีแพม (Diazepam) ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น อินโดเมธาซิน (Indomethacin) อะมิโนกลัยโคไซด์ (Aminoglycosides) เช่น กานามัยซิน (Kanamycin)
## นี้เป็นตัวอย่างยาสำหรับคน 3 วัยที่ต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ เพราะยามีทั้งคุณและโทษ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น